วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

จองเอง เที่ยวเอง : เชียงใหม่-หาดใหญ่-หลีเป๊ะ Part 1

21-25.03.2014


จัดทริปโดย Aomam MotionLight
(ด้วยการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตล้วนๆ ^^)


          ถ้าจะเริ่มเล่าถึงการเดินทางครั้งนี้ ต้องย้อนกลับไปที่แฟนผม เพราะเค้าเป็นคนจัดการทั้งหมด ^_^
         "จองด้วยโปร 0 บาท ของสายการบินหางแดงจาก เชียงใหม่ลงหาดใหญ่ ทั้งไปและกลับ เลยได้ช่วงเวลา เย็นวันศุกร์ - เช้าวันอังคาร (จริง ๆ ขากลับอยากได้ตอนเย็นวันอังคาร แต่.....จองไม่ทัน TvT)" 
          เค้าว่างั้นอ่ะครับ

          ซึ่งเค้าจองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัดของสายการบิน Air Asia ตั้งแต่ปี 2555 (ไปจริงปี 2557) แล้วแต่ช่วงไหนราคาถูก เพราะฉะนั้นราคาตั๋วจึงเป็นตัวกำหนดวันเดินทางของเรา (ฮา)


           การจองห้องพัก ก็จองผ่านเว็บ Agoda ลองดูที่เค้ารีวิวและราคาที่เราพอรับได้ แล้วก็ไปลุ้นกันอีกทีเมื่อไปถึง

          จองรถตู้จากหาดใหญ่ (จ.สงขลา) ไปท่าเรือปากบารา (จ.สตูล) และเรือจากท่าเรือปากบาราไปเกาะหลีเป๊ะ 
          จองรถตู้+เรือ นี่สั่งจองของทัวร์เลยเพราะมีครอบคลุมดี ชื่อ สุโขทัยทัวร์ ได้ข้อมูลมาจากเว็บพันทิป (แฟนผมไปแอบส่องข้อมูลมาจากเว็บนี้แหละครับ เพื่อเป็นข้อมูลก่อนการเดินทาง ขอบคุณทุกๆ ท่านที่ให้ข้อมูลดีๆ ไว้นะครับ^^)

          ที่เราจองไว้ก่อนเดินทางก็มีเท่านี้แหละครับ ที่เหลือไปตัดสินใจเอาหน้างาน

          ค่าใช้จ่ายตลอดการเดินทาง 10,110 บาท หารสองเหลือคนละ 5,055 บาท (ผมกับแฟน)



วันศุกร์ที่ 21 มี.ค. 57

          
          มารอขึ้นเครื่องที่สนามบินเชียงใหม่ ตอน 17.00 น. (เครื่องขึ้น 18.30 น.) ปรากฏว่าคันชักของกระเป๋าเดินทางใบใหญ่มันเสีย ดึงขึ้นมาไม่ได้ เลยไม่สามารถลากกระเป๋าด้วยล้อของมันได้ ต้องยกไปตลอดการเดินทาง...ยังไม่ทันขึ้นเครื่องก็มีปัญหาซะแล้วเรา -_-"


          มองจากบนฟ้า เห็นได้ชัดว่าเชียงใหม่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควัน เชียงใหม่ช่วงนี้อากาศแย่จริงๆ (คราวนี้เราจะได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ที่ทะเลแล้ว)

          ใช้่เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง นั่งมองท้องฟ้าเปลี่ยนสี
 



          ถึงสนามบินหาดใหญ่ประมาณ 20.35 น.

          บริการรถตู้ที่สนามบิน เพื่อเข้าเมืองหาดใหญ่ ค่าบริการคนละ 100 บาท ขั้นต่ำต้องมี 3 คน หรือเหมาไป 300 บาท ราคาเท่ากับ Taxi (Taxi ตอนกลางคืน 300 บาท แต่ตอนกลางวัน 200 บาท)
          พอดีว่ามีพี่คนนึงจะเข้าตัวเมืองเหมือนกัน เลยครบ 3 คนพอดี

          ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที จากสนามบิน รถตู้ก็มาส่งถึงที่พัก Cathay Guesthouse ด้วยห้องพักราคาคืนละ 280 บาท
          ถึงแม้จะเผื่อใจไว้แล้วตอนที่ดูรูปจากเว็บ Agoda แต่ของจริงก็ยังดูน่ากลัวกว่า (ฮา)
คันชักกระเป๋าใบใหญ่นั่นแหละครับ ที่ค้าง
          คนที่มาพักมีแต่ชาวต่างชาติ น่าจะเที่ยวแบบ Backpacker เน้นที่พักราคาประหยัด แต่ทำเลดี เดินเท้าได้สะดวก
          เพราะที่นี่ใกล้กับสถานีรถไฟ และตลาดกิมหยง ทั้ง 2 จุด ห่างจากที่พักประมาณ 300 เมตรเท่านั้น เดินสบายๆ เลย
          แฟนผมก็คิดว่าจะเดินไปซื้อของที่ตลาดกิมหยงนี่แหละ
          ถือว่าที่พักตอบโจทย์เราสำหรับคืนนี้คือ เดินเท้าได้สะดวก

          แต่ที่พลาดไปก็คือ เราไม่รู้ว่าตลาดกิมหยงปิดประมาณ 18.00 น. ...
          โธ่! ลงจากเครื่องก็สองทุ่มกว่าแล้ว กว่าจะถึงที่พัก เก็บของ เดินออกมา ก็เกือบ 4 ทุ่ม พ่อค้าแม่ค้ากลับบ้านนอนกันหมดแล้ว T.T

          ผมกับแฟนก็เดินกันไปเรื่อย... Where Where is Where Where เดินออกมาแล้ว ก็หาอะไรกินเลยละกัน
          แม้ประสบการณ์ที่ผ่านมาในการกินอาหารแบบเสี่ยงดวง 90% จะไม่อร่อย ...แต่ครั้งนี้เป็น 10% ที่อร่อย
          ก๋วยจั๊บที่สั่งมากินรสชาติดีทีเดียว (ส่วนนึงอาจเพราะเหนื่อยและหิว)

          ดูจากสีหน้าปลาบปลื้มของคนทานได้...
          สั่งมาทานชามเดียว เพราะกะว่าจะเดินหาของกินไปเรื่อยๆ แล้วเราก็เดินสำรวจแถวๆ นั้น อาหารเท่าที่เจอ แพงกว่าที่เชียงใหม่พอสมควร เดินจนไปถึงโรงแรมเซ็นทารา หาดใหญ่ (เดินไปหลงไป)
          แวะซื้อเสบียงใน 7-11 สำหรับเดินทางวันพรุ่งนี้ มีของ Sale แบบซื้อ 1 แถม 1 ด้วย เค้ามัดติดกันมาเลย... แล้วก็กลับมาถึงที่พักจนได้ เกือบ 5 ทุ่ม
          หมดแรง อาบน้ำแล้วก็เข้านอน

วันเสาร์ที่ 22 มี.ค. 57

          ตื่นแต่เช้าออกมาเดินเล่นแถวสถานีรถไฟหาดใหญ่ (รอรถตู้มารับตอน 8.30 น.) ไม่ได้เห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้ามานานแล้ว ที่เชียงใหม่กับลำปางมีแต่หมอกควัน ...รู้สึกสดชื่นแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน ถึงแม้จะนอนหลับๆ ตื่นๆ
          
          มื้อเช้าวันนี้เป็นโจ๊กใกล้ๆ กับสถานีรถไฟ แฟนผมอยากกินเลยถามคนแถวนั้น
          คำแรกที่สั่งกับแม่ค้าคือ "โจ๊กหมูใส่ไข่ที่นึงค่ะ"
          แม่ค้า "ไม่มีหมู มีแต่ไก่"
          แฟนผม "..."
          ลืมไปว่าแถวนี้เค้าไม่ค่อยกินหมู -_-
          สุดท้ายเราก็ได้โจ๊กไก่ใส่ไข่มา 2 ที่ หน้าตาน่าทาน ที่สำคัญราคาเพียงชามละ 15 บาทเท่านั้น

          กินเสร็จเราก็เดินกลับมาที่พัก รอรถตู้ที่จะมารับเราตอน 8.30 น. เพื่อไปท่าเรือปากบารา จ.สตูล
ป้ายสีเขียวข้างบนนั่นคือทางเข้าที่พัก Cathay Guest House

          รถตู้จะทยอยไปรับลูกค้าจุดต่างๆ (ตามนัด) จนเต็มคันจึงเดินทางสู่ท่าเรือปากบารา ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง
          เตรียมน้ำและอาหารไปด้วยก็ดีนะครับ ถ้าไม่คิดจะหลับตลอดการเดินทาง แต่ประมาณครึ่งทางรถตู้ก็จอดให้เข้าห้องน้ำ และซื้อของในปั้มน้ำมันได้

          ถึงท่าเรือปากบารา เราก็ต้องไปเดินหาเรือที่เราซื้อตั๋วกับเค้า (กระเป๋าใบใหญ่ก็ต้องยกไป ลากไม่ได้TT) จุดนี้ดูไม่ค่อยเป็นระบบเท่าไร มั่วๆ ให้ลูกค้าหาทางติดต่อเอาเอง ขนาดผมเป็นคนไทยยังถามตั้ง 3 ร้านกว่าจะได้คำตอบ ...ชื่นชมคนต่างชาติที่มาเที่ยวด้วยตัวเองจริงๆ
          เจอร้านที่ให้บริการเรือที่เราจองไว้ เราก็ยื่นตั๋วให้เค้า แล้วจะได้บัตรคิวเพื่อใช้ขึ้นเรือ คนละใบ

          ก่อนจะเข้าไปขึ้นเรือต้อง เสียค่าธรรมเนียมผ่านด่าน คนละ 20 บาท
จ่ายเงินตรงหลังคาปั้นหยาสูงๆ นั่นแหละ


          ระหว่างรอคิวก็ซื้ออาหารกลางวันมานั่งกิน...เป็นข้าวเหนียวไก่ย่างแถวๆ นั้น

          เรือออกเกือบๆ เที่ยง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง จึงจะถึงเกาะหลีเป๊ะเป้าหมายของเรา.. ขาไปเราได้นั่ง Speed Boat
มองเห็นท่าเรืออยู่ไกลๆ
ในเรือมีเสื้อชูชีพให้ใส่คนละตัว

          ขาไปเรือจะจอดพักที่เกาะตะรุเตา และเกาะไข่ (เต่าชอบขึ้นมาวางไข่) ก่อนจะเข้าเกาะหลีเป๊ะ
          แวะพักที่เกาะตะรุเตา และเสียค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติฯ คนละ 40 บาท
          และนี่คือภาพสุดท้ายของเรากับเรือลำนี้....
อุตส่าห์พกแก้ว คุมะ 7-11 ไปด้วยนิ

หาดทรายฝั่งท่าเรือ เกาะตะรุเตา
ถ่ายรูปกับป้ายตามสไตล์นักท่องเที่ยว
          และเพราะเรามัวแต่ถ่ายรูปเพลินอยู่นี่เอง เลยไม่ได้ยินเสียงเค้าเรียกขึ้นเรือ (เค้าบอกจอดพัก 20 นาที แต่เราดูเวลาแล้วว่ามันยังไม่ถึง) มาได้ยินตอนเสียงสุดท้าย ...แต่ก็วิ่งมาไม่ทัน
          เรือที่เรานั่งมา แล่นออกไปแล้ว...T.T

          เราก็รีบแจ้งเจ้าหน้าที่บริเวณนั้น เค้าก็โทร. ประสานกับคนบนเรือ ...ได้ความว่า ให้เราขึ้นเรือลำอื่น เพื่อไปเจอกันที่เกาะไข่ จุดแวะพักถัดไป

          โชคดีที่มีเรือ Speed Boat ของ บันดาหยา รีสอร์ท จอดอยู่ที่ท่า
          ผมกับแฟนก็เลยได้ขออาศัยไปด้วย ...ขอบคุณบันดาหยา รีสอร์ท มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ...นอกจากเรือจะใหญ่กว่าที่ผมจองมาแล้ว พนักงานยังให้บริการดี พูดคุยเป็นกันเองยิ่ง^^

          แล้วเรือบันดาหยา รีสอร์ท ก็มาทันเรือที่เรานั่งมาทีแรก ที่เกาะไข่ ...แต่ขณะที่เรือบันดาหยา รีสอร์ท จะเข้าเทียบหาด เรือที่เรานั่งมาทีแรก ก็แล่นออกไป ต่อหน้าต่อตา -_-
          ผมรีบแจ้งคนเรือของบันดาหยา รีสอร์ท เค้าบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวเค้าไปส่งที่เกาะหลีเป๊ะเลย...ซึ้งครับ
          แต่ผมห่วงกระเป๋าสัมภาระทั้งหลายของผมกับแฟนน่ะครับ...จะได้คืนมั้ยนิ

          จ๋อยเลยเรา...จากนั้นเราก็ไม่กล้าไปห่างเรืออีกเลย ...กลัววืดอีก
ด้านหลังเป็นซุ้มประตูหินธรรมชาติ ของเกาะไข่
ซุ้มประตูหินธรรมชาติ เกาะไข่
          เกือบๆ บ่ายสาม เราก็มาถึงโป๊ะ เพื่อลงเรือหางยาวไปเกาะหลีเป๊ะ...ตามกำหนดเป็นอย่างนั้น แต่เราต้องตามหากระเป๋าสัมภาระของเราที่ติดไปกับเรือที่เราวืดให้ได้ก่อน


          เราโทรไปถามเจ้าของเรือที่เราจองมา เพื่อตามหากระเป๋าสัมภาระของเรา... ได้ความว่าเค้าไม่รู้เรื่องเลย ไม่มีใครแจ้งเค้า แต่เค้าก็จะประสานให้
          เราต้องนั่งรอจนคนไปหมดโป๊ะ เพราะต้องรอให้เรือหางยาวที่รับส่งคนขึ้นเกาะว่าง ...เพื่อจะได้ไปส่งเราที่อีกโป๊ะหนึ่ง เพื่อดูว่ากระเป๋าเราอยู่ที่นั่นมั้ย ...เราหาดูที่โป๊ะนี้แล้วไม่มี...T.T
จะได้กระเป๋าคืนมั้ยน้อ

          แต่โลกก็ยังไม่โหดร้ายเกินไป...น้องคนดูแลคิวเรือหางยาว ช่วยประสานกับโป๊ะนู้นให้ และได้พบกับกระเป๋าของเราทุกใบ จึงนำใส่เรือหางยาวมาให้เรา และพาเราไปส่งที่เกาะหลีเป๊ะ
          ขอบพระคุณผู้มีน้ำใจทุกๆ ท่านครับ ^.^
          อ้อ ...ก่อนลงเรือหางยาวต้องเสียค่าเก็บขยะ คนละ 20 บาท และค่าเรือหางยาวคนละ 50 บาท
อยู่บนโป๊ะมองเห็นเกาะหลีเป๊ะ อยู่ใกล้ๆ

ด้านนี้เป็นหาดพัทยา ...แต่อยู่ที่เกาะหลีเป๊ะนะ

         15.30 น. เราก็ได้นั่งเรือหางยาวมาที่พัก แทนที่จะเป็น 13.30 น. ตามกำหนดเดิม -_-
เรือหางยาวมาส่งเราทางหาด Sunset เพราะใกล้ที่พักเรา

          Smile Sunset Resort ที่พักของเรา
บรรยากาศเงียบสงบเหมือนอยู่ในป่า
หลังคาเพิงหมาแหงนเปิดโล่ง

          ที่พักของเราในคืนนี้ ดูแล้วอาจจะคิดว่าเค้าสร้างไม่เสร็จรึเปล่า...จริงๆ แล้วเค้าก็สร้างไม่เสร็จนะแหละครับ^^ ... พอดี วันนี้ที่พักเต็ม ...พี่เทียน (เจ้าของรีสอร์ท) เลยให้เราพักที่นี่ไปก่อน ...ปกติแกใช้เป็นที่นอนของแก...ดีว่าแฟนผมเป็นคนไม่เรื่องมาก ก็เลยนอนได้ไม่มีปัญหา ^^
ด้านบนเปิดให้อากาศผ่าน รวมถึงเศษใบไม้ด้วย -_-
          ข้างในก็โอเคนะครับ อาจจะมีใบไม้หล่นเข้ามาเป็นพักๆ ...แต่ที่สำคัญเราสามารถนอนดูดาวจากบนเตียงได้เลย เจ๋งดี
          ปกติห้องพักราคาคืนละ 1,500 บาท แต่แฟนผมจองข้ามปีผ่านเว็บ agoda เลยได้ราคาพิเศษ
       
          เรา 2 คน หิวมาก (ยังไม่ได้อาบน้ำ) เลยตัดสินใจนั่ง Taxi (เป็นมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง) ลงไปที่ Walking Street ซึ่งเป็นโซนร้านค้าและร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะหลีเป๊ะ...ค่า Taxi คนละ 50 บาท
ด้านหน้าหาดพัทยา
          Walking Street อยู่ทางหาดพัทยา ...เราไปกินข้าวที่ร้าน Smile Seafood เจ้าของเดียวกันกับที่พักที่เราพักนั่นแหละ เค้ามีส่วนลดอาหารให้ 10%
          กินเสร็จเราก็ไปจองทริปดำน้ำ ร้านอยู่ติดๆ กัน ...ทริปดำน้ำมี 2 แบบ (เวลา 9.30-16.00น. เหมือนกัน)
แบบที่ 1 เค้าเรียกว่ารอบใน    ราคา 550 บาท/คน
แบบที่ 2 เค้าเรียกว่ารอบนอก ราคา 650 บาท/คน
          ถามพี่เทียน เค้าบอกว่ารอบในสวยกว่า เราก็เลยจองรอบในไป 2 คน...เป็นอันเสร็จภาระกิจของเราในวันนี้ ...
เรือหางยาวที่นั่งจากโป๊ะเป็นแบบนี้แหละครับ ที่จะนั่งไปดำน้ำก็เหมือนกัน
อยู่ริมทะเลคลื่นดี คุยโทรศัพท์ชัด ^^

          เราเดินเล่นแถว Walking Street ซื้ออาหารเช้าเตรียมไว้ ก่อนจะเดินกลับที่พัก (สำหรับคนชอบเดินไม่ไกลครับ มีขึ้นเนินนิดหน่อย แต่ถ้าเป็นคนไม่ชอบเดิน จองที่พักใกล้ๆ หาดดีกว่าครับ ราคาพอๆ กันก็มีเยอะอยู่ครับ)
ร้านอาหารริมหาดพัทยา

วันอาทิตย์ที่ 23 มี.ค. 57

          วันนี้ตื่นขึ้นมาด้วยความสดชื่น มีคิวดำน้ำ 9.30-16.00 น. กะว่าจะเดินเล่นเพลินๆ ก่อนลงไปดำน้ำ แต่ว่า....รองเท้าแตะหายไปข้างนึง...
          สันนิษฐานว่า หมาแถวๆ นั้นคาบไปแทะเล่น...เพราะแถวๆ นั้นหมาเยอะ จริงๆ บนเกาะก็มีหมาเยอะเลย กระจายอยู่ตามจุดต่างๆ
          หลังจากเดินหารองเท้าจนทั่วแล้ว ไม่เจอ จึงต้องตัดใจ TT (เสียดาย ใส่สบายเท้ามาก)

          ใส่รองเท้าผ้าใบอีกคู่ เดินลงไปหาซื้อรองเท้าแตะที่ Walking Street แต่ร้านส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยเปิด ที่มีขายก็ราคาแพงกว่าบนแผ่นดินใหญ่ เป็นเท่าตัว ...(สินค้าใน 7-11 บนเกาะหลีเป๊ะ แพงกว่าปกติ ประมาณ 50-100% )

          ลองแล้วก็ไม่เจอคู่ที่ใช่ และยังไม่อาจตัดใจจากคู่เดิมได้ (แอบหวังไว้ว่า ตอนเย็นหมามันคงคาบมาคืนมั้ง)
          โชคดีที่มีร้านนึง เค้ามีรองเท้าแตะเก่าๆ ให้เอาไปใส่ได้ก่อน ใช้เสร็จแล้วค่อยเอามาคืน หรือจะเอาไปเลยก็ได้ (จริงๆ เห็นฝรั่งบนเกาะส่วนใหญ่ก็เดินเท้าเปล่ากัน)
          ผมเลยขอยืมไปก่อน ตอนขากลับค่อยมาหาซื้ออีกทีตอนร้านเปิดมากกว่านี้
       
          แล้วผมกับแฟนก็เดินกลับไปกินข้าวเช้าที่รีสอร์ท พี่เทียนก็มานั่งคุยด้วยอย่างเป็นกันเอง ...ถามไถ่ได้ความว่าแกเป็นคนบนเกาะนี้เลย เกิดและโตที่นี่ (บนเกาะหลีเป๊ะมีโรงเรียนและสถานีอนามัยของรัฐ ส่ว่นคลินิกเป็นของเอกชน) ไปทำงานที่อื่นมาพักนึง ก่อนจะมาเปิดร้านอาหารทะเล และรีสอร์ท
          วันนี้แกจะเปลี่ยนห้องพักให้ เพราะมีห้องว่างแล้ว (ไม่ได้นอนดูดาวแล้วเรา) 
          กินข้าวเสร็จแกก็ให้ลูกน้องขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงข้างของแก มาส่งเราที่หาดพัทยา ...เตรียมไปดำน้ำ

หาดพัทยาตอนเช้า มีเรือมาเก็บขยะออกจากเกาะ (เดาเอานะครับ)

         สิ่งที่ท่านจะได้จากเงิน 550 บาทคือ ดำน้ำที่ร่องน้ำจาบัง เกาะหินงาม เกาะราวี เกาะอาดัง และเกาะยาง (ขึ้นอยู่กับลมฟ้าอากาศ) พร้อมหน้ากาก Snorkel ตีนกบ เสื้อชูชีพ อาหารกลางวัน น้ำเปล่า และผลไม้
เอามาแต่หน้ากาก กับ Snorkel เพราะใช้ตีนกบไม่เป็น
       
9.20 น. คนมาครบ มี 11 คน ก็ออกเรือ 
...อ่านต่อ Part 2 >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น