วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

ไส้เดือนดิน

ลึกลงไปใต้ผิวดินมีสิ่งมีชีวิตสีแดงอ่อนตัวยาวนุ่มนิ่ม เคลื่อนที่หากินมูลสัตว์และเศษใบไม้ที่เน่าเปื่อย

พวกเราคือ "ไส้เดือนดิน" เป็นผู้ขุดรู สร้างอินทรียสาร และช่วยให้โครงสร้างของดินดีขึ้น

ช่วยให้รากพืชดูดซึมสารอาหารในดินไปใช้งานได้ง่ายขึ้น

พวกเราชอบที่เย็นและชื้น จึงมักออกมาทำกิจกรรมในตอนกลางคืนที่สภาพแวดล้อมเป็นใจ

บางครั้งพวกเราก็ออกมาเจอเพื่อน ๆ และมองหาคู่รัก เพื่อสร้างทายาท วางไข่ รอให้ลูก ๆ เติบโตต่อไป

พวกเรานับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ขยัน 

ขยันกินมูลสัตว์และเศษใบไม้ เพื่อที่จะขี้ออกมาเป็นปุ๋ยที่ช่วยให้ดินมีสภาพที่ดีขึ้น

และพวกเรายังเป็นดัชนีชี้วัดความสมบูรณ์ของดินที่ปลอดสารเคมีอีกด้วย

ต่อไปถ้าเจอพวกเราที่ไหนก็มั่นใจได้เลยว่าดินตรงนั้นเป็นดินที่ดีและเหมาะกับการปลูกต้นไม้แน่นอน

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

กระต่ายนอนไม่หลับ

 กระต่ายสาวนอนไม่หลับมาหลายวัน เพราะคิดถึงกระต่ายหนุ่มที่ออกไปตามหาผีเสื้อแสนสวยมาให้ตน

พอไม่มีกระต่ายหนุ่มอยู่ข้างกาย ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการไม่ใช่ผีเสื้อแสนสวย แต่เป็นกระต่ายหนุ่มที่รักและดูแลตนเองอยู่ไม่เคยห่าง

ทุกคืนพอหลับตาลง ใจกลับนึกเสียดายที่ไม่น่าปล่อยให้กระต่ายหนุ่มจากไปเลย

ความรู้สึกนี้ตามมาวนเวียนหลอกหลอนจนทำให้นอนไม่หลับสนิทสักคืน

กระต่ายสาวมายืนคอยกระต่ายหนุ่มที่เนินเขาทุกวัน

จนวันหนึ่งได้เจอกระต่ายเฒ่านอนหลับสนิทอยู่ใต้ต้นไม้

ทีแรกก็นึกว่าตายแล้ว แต่พอเข้าไปใกล้ ๆ ถึงรู้ว่ายังหายใจอยู่

กระต่ายสาวจ้องมองอยู่นานจนกระต่ายเฒ่าตื่นขึ้นมา

พอเห็นกระต่ายสาวจึงถามว่า

"เจ้าแอบชอบข้าเหรอ" 

"ไม่ใช่สักหน่อย" กระต่ายสาวรีบปฏิเสธ

"แล้วมายืนจ้องข้าทำไม" 

"ข้าสงสัยว่าทำอย่างไรถึงนอนหลับสนิทได้อย่างท่านน่ะ"

"ก็ไม่ต้องคิดอะไร นอนไปเดี๋ยวก็หลับเอง"

"เวลานอนท่านไม่คิดอะไร หรือไม่มีอะไรกวนใจท่านเลยเหรอ" กระต่ายสาวสงสัย

"ใช่ ถ้ามีอะไรกวนใจก็นอนไม่หลับสิ" กระต่ายเฒ่าตอบ

"แล้วท่านทิ้งสิ่งกวนใจเหล่านั้นได้อย่างไร"

"แต่เดิมใจเรามีแต่ความว่างเปล่า เป็นเราเองที่เอาสิ่งต่าง ๆ ยัดใส่เข้าไป" กระต่ายเฒ่าเริ่มร่ายปรัชญา

แต่กระต่ายสาวยังทำหน้างง กระต่ายเฒ่าเลยอธิบายต่อ

"ก็เหมือนเวลาที่ตัวเจ้าเปื้อน เจ้าก็เลียขนให้รอยเปื้อนออกไป ก็จะกลับมาสะอาดเหมือนเดิม นั่นหมายความว่า แต่เดิมตัวเจ้านั้นสะอาด"

กระต่ายสาวพยักหน้าเห็นด้วย

"ใจเราก็เหมือนกัน เจ้าต้องรู้ว่าเอาอะไรใส่เข้าไปถึงจะเอาออกมาได้ พอเอาออกมาแล้วใจเจ้าก็จะว่างเหมือนเดิม" กระต่ายเฒ่าสรุป

"แต่ถ้าเอาออกมาไม่ได้ละ" กระต่ายสาวยังกังวล

"งั้นถ้าเจ้าไม่รู้ว่ามีรอยเปื้อนอยู่ด้านหลัง เจ้าจะทำความสะอาดมันมั้ย" กระต่ายเฒ่าถาม

กระต่ายสาวส่ายหน้า

"นั่นแหละ ถ้าเจ้าไม่เห็นมันก็ไม่มี ถ้าเจ้าไม่ไปรับรู้มัน มันก็ไม่มีอยู่ ก็ไม่กวนใจเจ้า" กระต่ายเฒ่าทำท่าผละไป

"ต้องทำยังไงข้าถึงจะไม่สนใจสิ่งที่กวนใจข้า" กระต่ายสาวรีบถามก่อนจะไม่ทัน

"หาอย่างอื่นทำ ปลูกดอกไม้ก็ได้ เจ้าจะได้ไม่ต้องไปสนใจมัน" กระต่ายเฒ่าตอบขณะที่กระโดด ดึ๋ง ๆ จากไป

หลังจากนั้นกระต่ายสาวก็เริ่มปลูกดอกไม้บนเนินวันละต้น จนลืมสิ่งที่เคยกวนใจ และหลับสนิทนับแต่นั้นมา


วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

หอยทากน้อย

 หอยทากอาวุโสเคลื่อนที่มาเห็นหอยทากเด็กที่มีสีหน้าคร่ำเคร่ง จึงคืบคลานเข้าไปหา

"เป็นอะไรไปหนูน้อย ทำไมดูเครียดจัง" หอยทากอาวุโสถาม

"หนูไม่อยากเป็นหอยทากแล้ว" หอยทากเด็กตอบ

"อ้าว ทำไมละหนู"

"เป็นหอยทากแล้วไม่มีใครรักหนูเลย"

"ไหนเล่าให้ลุงฟังสิ เรื่องมันเป็นมายังไง"

หอยทากเด็กหยุดไปนิดนึง ก่อนจะเล่าให้ฟัง

"เมื่อกี้หนูเข้าไปกินชมพู่ที่หล่นตามพื้น แล้วได้ยินพวกหนอนคุยกันว่า หอยทากนี่มันอัปลักษณ์จริง ๆ เคลื่อนที่ก็ช้า หน้าตาก็น่าเกลียด ไม่เหมือนหนอนอย่างพวกเราที่รอวันเป็นผีเสื้อแสนสวย บินไปมาได้อย่างอิสระ"

หอยทากเด็กสะอื้นด้วยความเสียใจ ก่อนจะพูดต่อ

"ทำไมหอยทากถึงไม่สวยแบบผีเสื้อบ้างละคะ"

หอยทากอาวุโสมองหอยทากเด็กด้วยความเอ็นดู แล้วอธิบายว่า

"ความสวยมันเป็นเรื่องของมุมมองนะ ถึงแม้เราจะเป็นเหมือนผีเสื้อไม่ได้ แต่เราก็หาความสวยในแบบของเราได้นะ"

เมื่อเห็นว่าหอยทากเด็กเริ่มสนใจ หอยทากอาวุโสจึงอธิบายต่อ

"รู้มั้ยว่าเมือกของเรามนุษย์นำไปบำรุงผิวให้เต่งตึงเพื่อความสวยงาม"

"จริงเหรอคะ" หอยทากเด็กแปลกใจ

"แล้วก็เอาไปรักษาแผลไฟไหม้ ใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ แล้วก็อีกหลายอย่างเลยนะ" หอยทากอาวุโสบรรยายสรรพคุณ

"โอ้โห สุดยอดไปเลย" หอยทากเด็กอุทานด้วยความชื่นชม

เมื่อเห็นหอยทากเด็กเริ่มเปิดใจแล้ว หอยทากอาวุโสจึงพูดให้ข้อคิด

"คำตำหนิก็เหมือนเปลือกหอยของเรานี่แหละ ถ้าเราแบกมันไว้เฉย ๆ ก็หนักเปล่า ๆ แต่ถ้าเราใช้ไว้ป้องกันตัวมันก็เป็นประโยชน์

คำตำหนิจะเป็นภาระทางจิตใจ หรือจะเป็นคำเตือนให้เราได้คิดได้ปรับปรุงตัว ก็อยู่ที่เราเลือกใช้ ส่วนคำตำหนิที่เราแก้ไขไม่ได้ก็ควรจะปล่อยมันไป"

เมื่อหอยทากอาวุโสพูดจบ หอยทากเด็กก็เริ่มคิดตาม

จนกระทั่งหอยทากอาวุโสชวนไปหาชมพู่ฉ่ำ ๆ กิน หอยทากเด็กก็คืบคลานตามไปด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายกว่าเดิม

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2568

เหยี่ยวแดง

 "เหงา" เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับเหยี่ยวแดงวัยรุ่นในช่วงที่ผ่านมา

เพราะมันต้องออกมาใช้ชีวิตเพียงลำพัง ทั้งตอนกลางวันที่ออกหาอาหาร และตอนกลางคืนที่เกาะกิ่งไม้นอน

ด้วยความที่มันยังไม่โตเต็มวัยเลยไม่ถึงเวลาจับคู่ผสมพันธุ์ ความเหงาจึงเข้าจู่โจมมันอยู่บ่อย ๆ 

หลายครั้งที่มันใช้การบินร่อนไปมาเพื่อแก้เหงา แต่ความเหงาก็กลับมาหามันอยู่เสมอ

จนวันหนึ่งมันตัดสินใจเผชิญหน้ากับความเหงา และจ้องมองเข้าไปในความเหงานั้น

เหมือนมันได้เข้าไปในที่ที่มืดสนิท ไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่มีเสียง อยู่เนิ่นนาน

จนกระทั่ง มันได้ยินเสียงบางอย่างที่แผ่วเบาแต่สม่ำเสมอ

เสียงลมหายใจของมันนั่นเอง

มันแปลกใจว่าในที่ที่มืดสนิทกลับมีเสียงลมหายใจของตัวเอง

จากนั้นมันก็ตามดูลมหายใจนั้น

ไม่ว่ามันจะบินไปไหน ทำอะไร มันก็จะหมั่นสังเกตดูลมหายใจตัวเอง

นานวันเข้าความเหงาก็ห่างหายไป

มันสงบและผ่อนคลายขึ้น

เวลาที่มันจับเหยื่อไม่ได้ มันก็ไม่หงุดหงิด

แค่เริ่มมองหาเหยื่อใหม่ แล้วบินดิ่งลงไปจับ

กินเท่าที่จำเป็น

อยู่กับช่วงเวลาขณะนั้น

แล้วมันก็ผ่านเข้าสู่วัยหนุ่มโดยไม่พานพบความเหงาอีกเลย

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2568

อึ่งอ่าง

 ฝนตกหนักติดต่อกันมาหลายวัน ปลุกให้อึ่งอ่างที่จำศีลอยู่ใต้ดินโผล่ขึ้นมาส่งเสียงร้อง "อึ่ง อ่าง อึ่ง อ่าง" ดังไปทั่วบริเวณ

อึ่งอ่างตัวผู้ส่งเสียงร้องเรียกอึ่งอ่างตัวเมียให้มาหาเพื่อผสมพันธุ์ อึ่งอ่างตัวเมียก็มาตามเสียงเรียก

เมื่อจับคู่ได้ ตัวผู้ซึ่งตัวเล็กกว่าจะกระโดดขึ้นเกาะหลังตัวเมีย ใช้ 2 ขาหน้าเล็ก ๆ ของมันกอดรัดตัวเมียไว้

ส่วนตัวเมียจะพยายามกระโดดและสะบัดให้ตัวผู้หล่นลงไป เพื่อหาตัวผู้ที่แข็งแรงที่สุดเป็นพ่อพันธุ์ของลูก ๆ มัน

จากนั้นเมื่อผสมพันธุ์กันเสร็จ ตัวเมียจะวางไข่ในน้ำ เพื่อให้กลายเป็นลูกอ๊อดและกลายเป็นอึ่งอ่างต่อไป

ส่วนพ่อแม่อึ่งอ่างเมื่อทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จแล้ว ก็จะมุดลงดินแล้วจำศีลไปอีก 6 เดือน 

รอเวลาโผล่ขึ้นมาผสมพันธุ์กันใหม่ในหน้าฝนถัดไป

เพื่อจะทำอย่างเดิมคือ ตัวผู้เรียกตัวเมียมาหาเพื่อผสมพันธุ์ 

ตัวเมียหาตัวผู้ที่แข็งแรงที่สุดเป็นพ่อพันธุ์

จากนั้นผสมพันธุ์ แล้วก็วางไข่ ที่เหลือก็ปล่อยให้ธรรมชาติเลี้ยงลูกจนโต

เพื่อมาเข้าสู่วงจรผสมพันธุ์ต่อไป

เป็นรูปแบบชีวิตที่เรียบง่าย มีเป้าหมายชัดเจน คือมาหากันเพื่อผสมพันธุ์เท่านั้น