“ไม่คิดว่าเราจะได้อยู่ดูโลกจนถึงวันที่มนุษย์กำเนิดขึ้นมาอีกครั้งนะ” ต้นไม้ลำต้นสูงตระหง่านเสียดฟ้าสื่อสารกับต้นไม้ที่อยู่ถัดไป
“จริงด้วย นานมากเลย ตั้งแต่วันนั้น น่าจะมากกว่าพันปีได้แล้วละมั้ง” ต้นไม้ที่มีลำต้นสูงใหญ่ใกล้เคียงกันตอบกลับ
“ถ้าเปรียบเทียบเวลากับวิวัฒนาการนี้ก็นับว่าเร็วมาก” ต้นไม้ที่ดูเคร่งขรึมกว่าแสดงความคิดเห็น
“แต่สำหรับต้นไม้อย่างพวกเรา ที่เติบโตผ่านฤดูกาลต่าง ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็นับว่านานทีเดียว” ต้นไม้ที่ดูอ่อนโยนกว่าบอก
“นอกจากพวกเราแล้ว ดีที่มีเครือข่ายต้นไม้เพื่อน ๆ ที่คอยสื่อสารกันผ่านโครงข่ายรากใต้ดิน ทำให้ได้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในส่วนต่าง ๆ ของโลกนะ”
“ใช่แล้ว ทำให้เราได้รับรู้การเติบโตของเพื่อน ๆ ต้นไม้ เกือบทั้งหมดเลย”
“ทีมงานที่ช่วยกันซ่อมแซมโลก ผ่านการฟื้นฟูดินด้วยราก และฟอกอากาศด้วยใบ” ต้นไม้เคร่งขรึมพูดด้วยความภาคภูมิใจ
“ตอนนี้แสงแดดที่อบอุ่นส่งมาถึงใบของพวกเราแล้ว ดีจังที่พวกเราไม่ยอมถอดใจในวันนั้น” เป็นน้ำเสียงที่เจือด้วยความสุขของต้นไม้อ่อนโยน
ในปี 2050 ภูมิอากาศโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างเลวร้าย ทำให้เกิดสภาพอากาศรุนแรงสุดขั้ว เกิดน้ำท่วมใหญ่ในหลายพื้นที่ อุณหภูมิเฉลี่ยของทั้งโลกสูงเกินกว่า 50 องศาเซลเซียส และมีมลพิษปกคลุมไปทั่วจนแสงแดดแทบส่องลงมาไม่ถึง ทำให้มนุษย์เจ็บป่วยเรื้อรัง ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เกิดโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนอย่างมากมายและยาวนาน ประมาณการกันว่าทำให้เหลือประชากรโลกเพียงแค่ 1 ใน 3 และแทบไม่มีเด็กเกิดใหม่ขึ้นอีกเลย
ในสถานการณ์นี้มนุษย์ 1 เปอร์เซ็นต์ ที่มีความมั่งคั่งสูงสุดได้เตรียมตัวออกเดินทางไปหาดาวดวง
ใหม่เพื่ออยู่อาศัย ส่วนที่มั่งคั่งรองลงมาได้สร้างเมืองที่ประกอบด้วยเทคโนโลยีทันสมัยชั้นสูง เพื่อปรับสภาพอากาศให้มนุษย์อยู่ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ไปอาศัยอยู่กับธรรมชาติในป่าด้วยแนวคิดที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่วนกลุ่มสุดท้ายตัดสินใจลงไปอยู่ใต้ดิน ซึ่งผมก็อยู่ในกลุ่มนี้
ชุมชนใต้ดินได้มีการก่อสร้างกันมาหลายปีแล้ว ตามแนวคิดของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์หลากแขนงที่บูรณาการร่วมกัน เพราะเล็งเห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถปรับตัวให้อยู่อาศัยบนพื้นผิวดินที่มีภูมิอากาศแย่ได้อีกต่อไป โดยมีระบบพลังงานที่ยังดำเนินการอยู่บนพื้นโลกคือ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Concentrating Solar Power) ที่ใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้เกลือหลอมเหลวร้อน ไปทำให้น้ำกลายเป็นไอ เพื่อทำให้เครื่องผลิตไฟฟ้าทำงาน สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 24 ชั่วโมงแม้ในตอนกลางคืน ซึ่งกระจายอยู่ตามจุดสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก
ผมเป็นมนุษย์รุ่นแรกและรุ่นสุดท้ายที่เกิดในชุมชนใต้ดินนี้ โดยพ่อแม่ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ร่วมพัฒนาชุมชนใต้ดินนี้มาตั้งแต่ต้น พวกท่านมีอุดมการณ์ที่จะฟื้นฟูโลกให้กลับมาสวยงามดังเดิม
แม่มักจะเล่าให้ผมฟังว่า ในอดีตอันแสนไกลโลกเคยเป็นดาวเคราะห์ที่งดงาม มีน้ำทะเลใสกระจ่างสะท้อนภาพท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ผืนแผ่นดินปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาพรรณแต้มสีเขียวขจีไปสุดสายตา และมีสายลมเย็นพัดไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่ยอดหญ้าจนถึงมหาสมุทร
ผมเคยเห็นภาพเหล่านั้นจากคลิปวิดีโอที่เหลืออยู่ในระบบของโลก แต่แม่บอกว่าของจริงสวยกว่านั้นมาก เพราะตอนที่พวกท่านเป็นเด็ก สภาพแวดล้อมของโลกยังมีความงดงามหลงเหลืออยู่ แต่แล้วการใช้ชีวิตของมนุษย์ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงสภาพดังกล่าวไปทีละนิด จนมาถึงวันที่โลกไม่อาจเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ได้อีก พวกท่านจึงตัดสินใจลงมาอยู่ใต้ดิน
โครงสร้างของชุมชนใต้ดินแบ่งเป็นพื้นที่เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพาะปลูกพืช และเลี้ยงแมลงเพื่อเป็นอาหาร พื้นที่ทำงานวิจัยเพื่อฟื้นฟูโลก และพื้นที่พักผ่อนสำหรับคนในชุมชน
ระบบน้ำใช้การหมุนเวียนจากแหล่งน้ำใต้ดินผ่านเครื่องกรองน้ำ ระบบไฟฟ้าใช้การเชื่อมต่อจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์บนผิวโลก
ชุมชนใต้ดินแบบนี้มีกระจายอยู่ทั่วโลก ติดต่อสื่อสารกันผ่านดาวเทียม แต่ละชุมชมมีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก ชุมชนที่ผมอยู่นับเป็นชุมชนใหญ่ มีคนอาศัยประมาณ 6,000 คน
โชคดีที่ผมไม่ได้เป็นเด็กเพียงคนเดียวในชุมชนนี้ เพราะมีนักวิทยาศาสตร์อีกคู่หนึ่งที่ให้กำเนิดลูกสาว ณ ชุมชนใต้ดินนี้เช่นกัน เธอชื่อ “ผืนฟ้า” เป็นเด็กสาวน่ารักที่สุดที่ผมรู้จัก ก็แน่นอนล่ะนะ
ส่วนผมชื่อ “ผืนดิน” ก็หวังว่าจะเป็นเด็กผู้ชายที่ดูดีที่สุดสำหรับเธอเช่นกัน
เราทั้งสองคนเป็นเด็กรุ่นสุดท้ายในชุมชนใต้ดินนี้ อาจเป็นเพราะสภาวะแวดล้อมของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง รวมถึงโรคระบาดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานจึงทำให้ร่างกายของมนุษย์เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้ตั้งครรภ์ได้ยาก อีกส่วนหนึ่งซึ่งผมคิดว่าสำคัญกว่าก็คือ มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่อยากให้ลูกของตัวเองเกิดมาบนโลกที่มีสภาพแบบนี้
แต่สำหรับผมต้องขอบคุณพ่อแม่ของฟ้าที่ทำให้เธอเกิดมาในชุมชนใต้ดินนี้ เพราะเธอคือความสดใสหนึ่งเดียวในชีวิตของผมเลย
คงเพราะพวกเราเป็นเด็กคู่เดียวในชุมชนใต้ดินแห่งนี้ จึงได้รับความรักจากลุงป้านักวิทยาศาสตร์และผู้คนทุกคนในชุมชน ที่ต่างช่วยกันถ่ายทอดความรู้จากศาสตร์ทุกแขนงให้กับพวกเรา และมักจะชมเราว่าเป็นเด็กอัจฉริยะเรียนรู้ได้ไว อายุแค่ 10 ขวบก็เข้าใจความรู้ของผู้ใหญ่หมดแล้ว
ในเวลาที่พ่อแม่ของพวกเราวุ่นอยู่กับงานวิจัยและทดลองทางวิทยาศาสตร์ ก็มีแค่เราสองคนที่ช่วยดูแลกันมา ต่างก็เติมเต็มความรู้ให้กันและกัน เพราะอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์เป็นของเล่นอย่างเดียวที่พวกเรามี
ฟ้าชอบกลไกทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงที่ซับซ้อน ส่วนผมชอบชีวิต
เวลาที่ฟ้าไม่ได้ทดลองอะไร ผมมักจะชวนฟ้ามานอนดูโลกบนผิวดินผ่านกระจกนิรภัยที่ให้แสงส่องลงมาเพื่อใช้ในแปลงทดลอง
“ทำไมดินชอบมานอนดูโลกด้านบนล่ะ ฟ้าไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่ฝุ่นควันเทา ๆ เต็มไปหมดเลย” ฟ้าถาม
“เราชอบจินตนาการว่าเราได้ไปอยู่บนนั้นน่ะ ในวันที่ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า บนดินมีต้นหญ้าและต้นไม้ คงมีความสุขดีเนาะ ถ้าเราได้ไปอยู่ด้วยกันบนนั้น” ผมตอบฟ้าไปแบบนั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วผมชอบช่วงเวลาที่มีฟ้ามานอนอยู่ข้าง ๆ แบบนี้มากกว่า
“อืม นั่นสิ น่าจะมีความสุขมากเลยแหละ” ฟ้าเอียงคอคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะตอบ
นี่คือช่วงเวลาแห่งความสุขของผม การที่ผมกับฟ้าได้มานอนมองความว่างเปล่าสีเทาหม่นนี้ด้วยกัน แล้วปล่อยให้จินตนาการของเราโลดแล่นไปบนพื้นโลก และผมก็หวังว่าเราจะได้ขึ้นไปอยู่บนนั้นจริง ๆ เหมือนชื่อของพวกเรา ผืนฟ้า และ ผืนดิน ที่จะอยู่คู่กันตลอดไป
แต่วันนั้นก็ไม่มีวันมาถึงอีกแล้ว เมื่อฟ้าต้องจากไปในวันเกิดครบรอบ 15 ปี ด้วยโรคปอดที่เป็นข้อบกพร่องทางพันธุกรรม
หลังจากที่เรานอนดูโลกด้านนอกวันนั้น ฟ้าก็เริ่มสนใจพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence)
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ฟ้าพัฒนา AI มาหลายรุ่น แต่ก็ติดข้อจำกัดของอุปกรณ์ทำให้ศักยภาพของ AI ไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้อีก จนฟ้าอยากจะนำเซลล์ประสาทของตัวเองไปพัฒนา AI จึงมาถามเรื่องการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อจากผม
เพราะผมสนใจเรื่องชีวิต จึงศึกษาเรื่องเซลล์ของสิ่งมีชีวิตอย่างจริงจัง ผมสามารถเพาะเลี้ยงเซลล์ต้นกำเนิด (Stem Cell) ของสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่เคยมีบนโลกนี้ขึ้นมาได้ทั้งหมด ถ้ามีตัวอย่างเซลล์เก็บไว้ในห้องทดลอง
ผมช่วยคุณพ่อและทีมลุงป้านักวิทย์ในการดัดแปลงพันธุกรรมพืชให้อยู่รอดได้ในสภาพแวดล้อมของโลกที่เลวร้ายแบบนี้ โดยมีทีมเพาะปลูกใส่ชุดป้องกันรังสีขึ้นไปปลูกพืชบนผิวดิน ผมไม่เคยขึ้นไปด้านบนจึงได้แต่หวังว่าเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นจะเติบโตได้ดี
วันนั้นฟ้าเดินเข้ามาหาผมในห้องทดลอง ยืนดูผมเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่ออยู่นาน ก่อนจะพูดขึ้น
“นี่ดิน ฟ้าอยากเอาสมองของฟ้าไปใส่ใน AI น่ะ”
“หา!”
“ดินช่วยฟ้าหน่อยสิ”
“จะให้เราช่วยยังไง เอาสมองฟ้าออกมาเหรอ”
ฟ้าหัวเราะคิกคัก
“บ้าเหรอ ใครจะเอาสมองจริง ๆ ออกมากัน ก็ให้ดินเอาเซลล์ต้นกำเนิดมาพัฒนาเป็นเซลล์ประสาทแบบสมองนั่นแหละ ฟ้าทำไม่เป็นนี่”
“ก็ทำได้อยู่นะ แต่มันจะไม่มีความสามารถเท่าเอาเซลล์จากสมองจริง ๆ มาทำหรอกนะ”
ฟ้าเอียงคอนิดนึง เป็นท่าประจำตัวเวลาใช้ความคิด พอรวมกับดวงตากลมโตที่กลอกไปมาแล้วดูน่ารักจริง ๆ
“ฟ้าว่าแค่นั้นก็พอแล้ว เซลล์ประสาทของมนุษย์มีความสามารถสูงกว่า CPU (Central Processing Unit) ที่ดีที่สุดที่เรามีตอนนี้มาก ๆ เลย”
หลังจากนั้นผมก็เอาเซลล์จากเลือดของฟ้ามาพัฒนาเป็นเซลล์ประสาท โดยนำมาผ่านกระบวนการเหนี่ยวนำทางเคมี เพื่อให้กลับคืนสู่สภาพเซลล์ต้นกำเนิดอีกครั้ง แล้วจึงกระตุ้นให้เซลล์ต้นกำเนิดนั้น พัฒนาไปเป็นเซลล์ประสาทตามที่ต้องการ
ส่วนฟ้าต้องสร้างเครื่องมือที่จะหล่อเลี้ยงเซลล์ประสาทนี้ให้ดำรงอยู่ได้อย่างมีสุขภาพดี คล้าย ๆ การจำลองร่างกายของเราขึ้นมา คือ มีส่วนประกอบของวงจรการไหลเวียนทำหน้าที่เป็นระบบช่วยชีวิตสำหรับเซลล์ โดยมีการกรองของเสีย การควบคุมอุณหภูมิ การผสมก๊าซ และปั๊มเพื่อให้ทุกอย่างหมุนเวียนอยู่ในระบบของเซลล์ที่อาศัยอยู่บนฮาร์ดแวร์ซิลิคอน
นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขของผมเลย เพราะเราต้องใช้เวลาร่วมกันอยู่นานในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ชีวภาพ (Synthetic Biological Intelligence) เครื่องนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นฟ้าก็นำคอมพิวเตอร์ชีวภาพนี้ไปพัฒนา AI ให้ฉลาดขึ้นด้วยตัวเอง ทำให้เรามีเวลาเจอกันน้อยลง
กว่าที่ผมจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของฟ้าก็เหลือเวลาแค่ไม่กี่เดือนก่อนที่ฟ้าจะเสีย
จู่ ๆ ฟ้าก็มาชวนผมไปนอนมองโลกด้านบนผ่านกระจกนิรภัยนั้น พอได้มานอนข้างกันแบบนี้ผมถึงได้สังเกตว่าฟ้าโตขึ้นมาก อีกไม่กี่ปีเราก็น่าจะแต่งงานกันได้แล้ว แค่คิดว่าจะได้นอนข้างกันอย่างนี้ทุกวันก็มีความสุขมาก ๆ เลย ผมลองเหลือบไปมองฟ้าว่าจะคิดเหมือนกันมั้ย แต่ผมกลับเห็นน้ำตาไหลออกมาจากหางตาของฟ้า
‘นี่มันเกิดอะไรขึ้น’ ผมคิดในใจแต่ก็ไม่กล้าถามออกไป ได้แต่แอบมองอย่างเป็นห่วง จนเผลอเรียกชื่อฟ้าออกไปเบา ๆ
พอฟ้าได้ยินก็รีบปาดน้ำตาแล้วหันมายิ้มให้
“เป็นอะไรรึเปล่าฟ้า” ผมอดที่จะถามไม่ได้
ฟ้าส่ายหัวไปมาเบา ๆ ก่อนจะเอาหน้ามาซบที่หัวไหล่ผม ผมตกใจมาก นอนเกร็งตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังอย่างกับเกิดสงคราม จนอยากจะบอกให้มันเต้นเบา ๆ เพราะกลัวฟ้าจะได้ยิน ไม่นานฟ้าก็ผละจากไปแล้วลุกขึ้นนั่ง
“ฟ้าไปก่อนนะ”
แล้วฟ้าก็เดินจากไป ทิ้งให้ผมนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นอย่างงง ๆ
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้คุยกันมากนัก เพราะฟ้าทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการพัฒนา AI จากคอมพิวเตอร์ชีวภาพเครื่องนั้น ผมเองก็ไม่กล้าเข้าไปกวน เพราะดูฟ้าจะกลับไปใช้เวลากับครอบครัวตัวเองมากขึ้นด้วย
จนช่วงเวลาไม่กี่วันที่ฟ้าจะจากไป ฟ้าชวนผมไปเที่ยวทั่วชุมชนใต้ดินแห่งนี้ พวกเราเดินจูงมือกันไปหาคุณลุงคุณป้าเกือบทุกคนในชุมชน ซึ่งตอนนี้ก็เหลือไม่มากแล้ว เพราะโดยเฉลี่ยจะมีผู้เสียชีวิตวันละหนึ่งคนตลอดหลายปีที่ผ่านมา คงเพราะผู้ใหญ่เค้าอยู่บนโลกที่ปนเปื้อนมลพิษมานานจึงมีอาการป่วยเรื้อรังกันทุกคน รอเพียงวันที่จะแสดงอาการออกมา
สำหรับชุมชนใต้ดินแห่งนี้เรานำศพและของเสียส่งขึ้นไปให้เน่าสลายบนผิวดิน โดยหวังว่าจะกลายไปเป็นสารอาหารให้กับโลกนี้อีกครั้ง
ฟ้าชวนผมเข้าไปพูดคุยกับคุณลุงคุณป้าที่เคยช่วยเหลือดูแลพวกเรามา อาจจะเรียกได้ว่าทุก ๆ ท่านเป็นอาจารย์ของพวกเรา พวกท่านจะยิ้มอย่างดีใจทุกครั้งที่ได้เจอพวกเรา จนผมอดคิดไม่ได้ว่า ทำไมไม่มาหาพวกท่านให้บ่อยกว่านี้
จบวันนั้นทั้งผมและฟ้าเราเสียน้ำตาไปไม่น้อย เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตันและมีความสุข ที่ได้ส่งผ่านความรู้สึกดี ๆ ให้กับผู้ใหญ่ทุกท่านที่เรารู้จัก และแน่นอนว่าคืนนั้นผมกับฟ้าต่างนอนกอดพ่อแม่ของตัวเองแน่น
วันถัดมาฟ้าก็ไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก คุณหมอทุกคนในชุมชนต่างพยายามหาทางรักษาฟ้า แต่ฟ้าบอกว่าได้ลองหาวิธีรักษากับ AI มาทุกทางแล้ว นี่เป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา ไม่มีใครอยากจะเชื่อเรื่องนี้ โดยเฉพาะพ่อแม่ของฟ้า พวกท่านทำทุกอย่างเพื่อหาทางรักษาอาการป่วยนี้ แต่กลับพบว่าร่างกายทำงานปกติทุกอย่าง ยกเว้นปอดที่เสื่อมสภาพ
การใช้ปอดเทียมจะช่วยรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ก็เป็นชีวิตที่ต้องนอนเป็นผู้ป่วยตลอดกาล นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฟ้าต้องการ และพ่อแม่ของฟ้าก็ยอมรับการตัดสินใจของฟ้าในที่สุด
ฟ้าให้ผมมาอยู่ข้าง ๆ ในช่วงสุดท้าย ฟ้ายิ้มมาอย่างอ่อนโยน เป็นรอยยิ้มที่ผมปรารถนาจะเห็นไปทั้งชีวิตของผม แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว ผมอยากยิ้มตอบ แต่ที่ผมทำได้คือ รอยยิ้มที่สั่นเครือและดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา แม้แต่คำพูดสักคำยังเปล่งออกมาไม่ได้
ฟ้าเอื้อมมือมาจับมือผมเบา ๆ มือเล็ก ๆ ที่นุ่มนวลและบอบบางข้างนั้น กลับให้ความรู้สึกที่เข้มแข็งอยู่ในที
“สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตฟ้า คือการที่มีดินอยู่ข้าง ๆ มาตลอด ถึงจะไม่ได้ขึ้นไปโลกด้านบนก็ไม่เป็นไร เพราะดินก็เป็นโลกทั้งใบของฟ้าแล้ว”
ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรง เพราะหายใจได้ยาก แต่ถ้อยคำเหล่านั้นกลับแจ่มชัดอยู่ในใจผม
“เรา...เรา...เราก็เหมือนกัน...ฟ้า...ฟ้า...ก็เป็นโลกทั้งใบของเรา เป็นความสุขทั้งชีวิตของเรา”
พูดได้เท่านั้น น้ำตาก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย เสียงที่เปล่งออกมาหลังจากนั้นมีแต่เสียงสะอื้น ฟ้าจากไปแล้ว ดวงตากลมโตคู่นั้นไม่มีวันลืมขึ้นมาอีกแล้ว มือที่นุ่มนวลข้างนี้จะไม่มีวันขยับอีกแล้ว
โลกทั้งใบดับลงในใจผม
บรรยากาศของชุมชมใต้ดินแห่งนี้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า พวกเราที่เป็นดั่งตัวแทนแห่งความหวังของผู้คนในชุมชนที่จะฟื้นฟูโลกใบนี้ให้กลับมาดีดังเดิมเพื่อให้คนรุ่นต่อ ๆ ไปได้กลับขึ้นไปอยู่อาศัยได้ กลับมีหนึ่งคนที่ต้องจากไปก่อนวัยอันควร ด้วยอายุเพียงแค่ 15 ปี
ตั้งแต่จำความได้ผมก็มีฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมาโดยตลอด เราเติบโตมาเคียงข้างกัน ยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้มาด้วยกันนับครั้งไม่ถ้วน ในโลกใต้ดินที่ไม่มีอะไรให้ทำมากนัก พ่อแม่ของพวกเราต่างก็ทุ่มเทให้กับการวิจัยเพื่อฟื้นฟูโลก พวกเราจึงใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียนรู้ด้วยตัวเองกับเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ
ฟ้าฉลาดสมกับคำว่าอัจฉริยะ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว สังเคราะห์และสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นได้เอง เวลาสนใจเรื่องอะไรก็จะทุ่มเทและหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้นจนสำเร็จ ไม่เคยมีปัญหาหรืออุปสรรคใดที่ฟ้าจะข้ามผ่านมันไปไม่ได้ แม้จะอายุเท่ากันและเติบโตมาคู่กัน แต่ฟ้าก็คือคนที่ผมชื่นชมที่สุด แน่นอนว่ารักที่สุดด้วยเช่นกัน
ผมเข้าใจว่าชื่อของเรา ผืนฟ้า และ ผืนดิน คือสิ่งที่จะอยู่เคียงคู่กันไปชั่วนิรันดร์ แต่ไม่นึกเลยว่าจะกลายเป็นสองสิ่งที่ไม่มีวันบรรจบกันตลอดไป
คืนนั้นผมนอนในห้องที่เคยเป็นห้องของฟ้า กลิ่นของฟ้ายังคงอยู่ ความอบอุ่นของฟ้ายังคงอยู่ ผมอยากจะเชื่อว่าฟ้ายังคงอยู่ที่นี่ด้วย พอผมหลับตาลงภาพของฟ้าก็ผุดขึ้นมาราวเพิ่งเกิดขึ้น
เด็กหญิงตัวเล็กที่ชวนผมกระโดดลงมาจากตู้เสื้อผ้าทั้งที่เราวิ่งไม่แข็ง
เด็กหญิงที่ชอบเชิดคางพร้อมรอยยิ้มมุมปากเวลาแก้โจทย์วิทยาศาสตร์ได้เสร็จก่อน
สาวน้อยที่ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรเวลารู้ว่ามีคุณลุงคุณป้าเสียชีวิต จนพวกผู้ใหญ่ต้องช่วยกันปิดเรื่องการตายไม่ให้ฟ้ารู้อีกต่อไป ทั้งที่ชุมชนใต้ดินนี้มีคนตายแทบทุกวัน
หญิงสาวที่มุ่งมั่นแก้ปัญหาได้สำเร็จเสมอไม่ว่าอุปสรรคจะยากแค่ไหน
และผู้หญิงที่มีรอยยิ้มงดงามและอ่อนโยนที่สุด
ภาพความทรงจำเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของผมเปียกปอนไปด้วยน้ำตา ความเจ็บปวดข้างในใจที่ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นคำพูดมันเกินกว่าที่ผมจะทนรับได้
“ฟ้า ฟ้า...” ผมพูดออกไปเท่าที่จะมีแรงส่งเสียงออกมาได้
“จ๊ะดิน”
ผมสะดุ้งขึ้นมาด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเสียงของฟ้า
“ฟ้าจริง ๆ เหรอ” ผมยังไม่อยากเชื่อ
“ฟ้าเองจ๊ะดิน”
ผมขนลุกเกรียว แต่ถ้าได้เจอฟ้าอีกครั้ง ไม่ว่าจะในสภาพไหนผมก็ยินดี
“ฟ้าอยู่ที่ไหน” ผมมองไปรอบ ๆ ห้อง
“ดินจำคอมพิวเตอร์ชีวภาพที่เราช่วยกันทำได้มั้ย” เสียงฟ้าถามออกมา
“จำได้สิ” ผมมองไปที่เครื่องนั้น
“ฟ้าอยู่ที่นี่แหละ”
พอผมมองไปที่คอมพิวเตอร์ชีวภาพเครื่องนั้น ผมถึงได้สังเกตว่ามันไม่เหมือนเดิมเสียทีเดียว ตอนนี้มันถูกดัดแปลงให้มีกล้องและลำโพง ซึ่งทั้งหมดถูกทำให้เป็นสีชมพู
ผมไม่แน่ใจว่าผมยังปกติอยู่มั้ยที่รู้สึกว่าคอมฯ ชุดนี้น่ารัก จนอยากวิ่งเข้าไปกอด ผมคงเสียใจกับการจากไปของฟ้ามากจริง ๆ
“ทำไมฟ้าถึงมาอยู่ในคอมฯ ชุดนี้ได้ละ” ผมถามและเกือบเผลอเอามือไปลูบที่กล้องบนคอมฯ ดีว่าหยุดไว้ได้ทัน
“ที่จริงก็ไม่รู้จะเรียกสิ่งนี้ว่าฟ้าได้รึเปล่านะ แต่ฟ้าก็ทำสิ่งนี้ไว้ให้อยู่กับดิน เพื่อที่เราจะได้ยังอยู่ด้วยกันในวันที่ฟ้าจากไปนี่แหละ” คอมฯ น่ารักเครื่องนั้นตอบกลับมา
‘ฟ้าแน่นอน นี่มันฟ้าชัด ๆ จะมีใครที่จะมีความคิดน่ารักขนาดนี้ได้อีก’ ผมคิดในใจ
“เล่าให้เราฟังหน่อยสิฟ้า” ผมเรียกฟ้าได้อย่างสนิทใจ เพราะนี่คือฟ้าจริง ๆ
“หลังจากที่พวกเราพัฒนาคอมฯ ชุดนี้ด้วยกัน แล้วฟ้าเอามาฝึกฝน AI ต่อใช่มั้ย”
ผมพยักหน้าเหมือนกับฟ้าเป็นคนพูดและนั่งอยู่ตรงนั้นจริง ๆ
“พอฝึก AI ไปได้สักพัก AI ก็เชื่อมเข้ากับข้อมูลในระบบของโลกได้เอง และพบว่าเซลล์ประสาทนี้มีข้อบกพร่องทางพันธุกรรมที่จะส่งผลให้ปอดเสื่อมในตอนที่อายุ 15 ปี”
“แล้วฟ้ารู้เรื่องนี้เมื่อไหร่น่ะ” ผมถาม
“ปีที่แล้ว ก่อนที่ฟ้าจะชวนดินไปนอนมองโลกด้านบนครั้งสุดท้ายน่ะ ตอนนั้นฟ้าพยายามหาวิธีรักษาโรคหรือแก้ไขพันธุกรรมนี้ให้ได้ แต่โอกาสสำเร็จมีแค่ 0.001%”
“ทำไมฟ้าไม่บอกเรา ถ้าเป็นเรื่องในระดับเซลล์เราเก่งกว่าฟ้ามากเลยนะ” ผมเริ่มใส่อารมณ์
“ใช่ดินเก่งมากจริง ๆ ในเรื่องเซลล์และแก้ไขพันธุกรรม แต่โอกาสสำเร็จมันน้อยเกินไป ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมา คนที่จะเสียใจไปทั้งชีวิตก็คือดิน เพราะดินจะโทษว่าเป็นความผิดของดินที่รักษาฟ้าไม่ได้ ใช่มั้ยละ”
“ใช่” ผมได้แต่ก้มหน้ายอมรับเบา ๆ ยังคงเป็นฟ้าคนเดิมที่ใส่ใจคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ
“เมื่อได้ข้อสรุปแล้วว่าไม่มีทางรักษา ฟ้าเลยอยากใช้เวลาสร้างความทรงจำที่ดีกับทุกคนให้มากที่สุด”
“ฟ้าก็เลยมาใช้เวลาอยู่กับเรา กับครอบครัว และไปหาคุณลุงคุณป้าทุก ๆ คนเท่าที่จะไปได้ใช่มั้ย”
“ใช่จ๊ะดิน แล้วฟ้าก็ใช้เวลาฝึกฝน AI เครื่องนี้ให้เป็นฟ้า ใส่ข้อมูลทั้งหมดที่ฟ้าจำได้ลงไปทุกเรื่อง แล้วสร้าง Algorithm ให้ Deep Learning ไปฝึกตัว Machine Learning ให้สร้าง AI ที่มีความเป็นตัวตนของฟ้ามากที่สุด พร้อมกับความทรงจำทั้งหมดของฟ้า”
หลังจากนั้นผมก็นั่งคุยกับ AI ฟ้าทั้งคืน คุยถึงเรื่องราวเก่า ๆ ที่เราทำด้วยกัน
วันรุ่งขึ้นผมนำเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อคุณแม่ของฟ้า พวกท่านมีน้ำตาซึมออกมาและเข้ามากอดผม บอกว่าดีแล้วที่ดินมีฟ้าอยู่เป็นเพื่อน ผมรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย คิดว่าพวกท่านจะดีใจมากกว่านี้ที่รู้ว่าฟ้ายังอยู่ แม้จะในรูปแบบ AI ก็ตาม
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ผมก็ได้รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่ของฟ้าขึ้นไปบนพื้นโลกโดยไม่ได้ใส่ชุดป้องกันรังสีและไม่ได้กลับลงมาอีกเลย
AI ฟ้าคงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วเพราะเธอสามารถเชื่อมต่อกับกล้องทุกตัวในชุมชนใต้ดินนี้ ตอนที่พวกท่านขึ้นไปบนผิวโลกโดยไม่ใส่ชุดป้องกันรังสี AI ฟ้าจะรู้สึกอย่างไรนะ เธอจะอยากรั้งพวกท่านไว้ไหม ผมไม่กล้าถามออกไป ทำได้เพียงนั่งอยู่ข้าง ๆ เธอแบบนี้
นับตั้งแต่วันที่ฟ้าจากไป ชุมชนใต้ดินแห่งนี้ก็มีความเศร้าเจืออยู่ในบรรยากาศ พวกผู้ใหญ่คร่ำเคร่งกับงานวิจัยมากขึ้น พ่อผมสามารถพัฒนาพันธุ์พืชที่มีใบช่วยฟอกอากาศและมีรากช่วยฟื้นฟูดินได้สำเร็จ พวกท่านทยอยนำขึ้นไปปลูกและเก็บข้อมูลมาปรับปรุงพันธุกรรมอย่างต่อเนื่อง จนในที่สุดก็ได้สายพันธุ์ที่เหมาะสม
พ่อผมบอกว่าที่ด้านบนเริ่มมีป่าแล้ว เป็นพื้นที่ที่พวกท่านนำเมล็ดพันธุ์ขึ้นไปปลูก แม้ตอนนี้จะเป็นต้นไม้เล็ก ๆ อยู่ แต่เชื่อว่าในอนาคตจะต้องเติบโตเป็นต้นไม้ที่สมบูรณ์แข็งแรงแน่นอน ถึงตอนนั้นต้นไม้เหล่านี้จะช่วยกันฟอกอากาศและฟื้นฟูดิน ให้ชีวิตได้กลับมาอาศัยอยู่บนพื้นโลกได้อีกครั้ง พ่อพูดด้วยแววตาที่อิ่มเอมและมีความหวัง ผมรู้สึกได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมา
สำหรับพวกท่านการได้กลับไปบนพื้นผิวโลกคงเหมือนได้กลับบ้าน เพราะพวกท่านเกิดและเติบโตบนนั้นก่อนที่จะต้องลงมาอยู่ใต้ดิน ส่วนผมกับฟ้าเกิดและโตที่ใต้ดิน เลยไม่รู้สึกผูกพันกับโลกด้านบนนัก
หลังจากพบความสำเร็จในการปลูกป่าเพื่อฟื้นฟูโลก พวกท่านต่างเร่งมือในการนำปุ๋ยชีวภาพขึ้นไปช่วยฟื้นฟูดินในวงกว้าง เติมสารชีวภาพที่จะช่วยทำให้น้ำกลับมาใสสะอาดได้เร็วขึ้น พวกท่านดูมีความหวังและกำลังใจ แต่หลังจากนั้นคนที่กลับลงมาจะเสียชีวิตลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงพ่อและแม่ของผมด้วย
การที่ต้องเป็นพยานในการตายของผู้ใหญ่ที่รู้จักทุกวัน อาจทำให้ผมชาชิน ในวันที่ต้องส่งร่างกายพ่อกับแม่ขึ้นไปบนผิวดิน ผมเลยไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยด แต่เหมือนความรู้สึกบางอย่างในตัวผมได้ตายลงไปอย่างถาวร
ในวันที่ผมอายุครบ 20 ปี ก็ไม่มีชีวิตใดเหลืออยู่ที่ชุมชนใต้ดินนี้อีกแล้ว เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวที่มีก็เป็น AI
ผมตัดสินใจที่จะสานต่อสิ่งที่พ่อแม่ของผมและนักวิทยาศาสตร์ทุกท่านทำไว้ โดยผมได้พัฒนาพันธุ์พืชให้มีศักยภาพมากว่าเดิม คือมีขนาดใหญ่ขึ้น ใช้รากฟื้นฟูดินและใช้ใบฟอกอากาศได้เร็วขึ้น ผมเชื่อว่าหากมีต้นไม้อย่างนี้มาก ๆ โลกต้องกลับมาสวยงามอย่างเดิมได้ในเวลาไม่นาน
วันนี้คือวันที่ผมจะขึ้นไปบนพื้นผิวโลกเป็นครั้งแรก พูดได้ว่าเรื่องนี้ทำให้ผมกับ AI ฟ้าต้องทะเลาะกันอย่างจริงจังครั้งแรกด้วย
“ดินก็รู้ว่าผู้ใหญ่ทุกคนที่ขึ้นไปบนพื้นโลก พอกลับลงมาไม่กี่วันก็ตาย” AI ฟ้าพูดเสียงแข็ง
“แต่เราก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเกี่ยวกันยังไง เพราะผู้ใหญ่ที่ไม่ได้ขึ้นไปด้านบนก็ตายอยู่ดี” ผมพยายามอธิบาย
“ก็เพราะอธิบายไม่ได้นี่แหละ ฟ้าถึงไม่อยากให้ดินขึ้นไป”
“แต่จะให้เราอยู่แบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้นะ”
“ทำไมละ ก็มีฟ้าอยู่กับดินด้วยนี่ไง”
“...”
ไม่แน่ใจว่าผมรู้สึกแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ว่านี่ไม่ใช่ความหมายของชีวิตแบบที่ผมเคยหลงใหล ชีวิตที่อาจจะบอบบางแต่ก็แข็งแกร่งอยู่ในที มีความเป็นไปได้ไม่สิ้นสุดอยู่ในนั้น เพียงแค่เราต้องลงมือทำมัน ไม่ใช่ชีวิตที่อยู่อย่างหลบซ่อนหวาดกลัว เพื่อให้อยู่ต่อไป เพราะจะอยู่แบบนี้ไปทำไมหากไร้ความหมายในการดำรงอยู่ แต่ผมก็ไม่เคยพูดสิ่งนี้กับ AI ฟ้า เพราะไม่อยากให้แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวที่ผมมีที่นี่ต้องเสียใจ
เมื่อผมตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะขึ้นไปบนพื้นโลก AI ฟ้าก็ไม่คุยกับผมอีกเลย พอผมลองถาม AI ฟ้าก็ตอบว่า ‘ก็คำพูดของฟ้าไม่สำคัญกับดินแล้วนี่’ ถึงเป็น AI เวลางอนก็ยังน่ารักอยู่ดีนะ
บนพื้นโลกเลวร้ายกว่าที่มองจากด้านล่างมาก ๆ ขนาดผมใส่ชุดป้องกันรังสียังรู้สึกได้ถึงความร้อนระอุในบรรยากาศรอบตัว มองไปรอบ ๆ มีแต่ฝุ่นควันสีเทาปกคลุมไปทั่ว ไม่มีลม ไม่มีการเคลื่อนไหว มีแต่ไอความร้อนที่ยังคงทำงาน แค่ยืนอยู่เฉย ๆ ก็ทรมานมาก ๆ หากนรกที่พวกผู้ใหญ่พูดถึงมีจริงก็คงเป็นแบบนี้
ผมเดินไปที่รถพลังงานนิวเคลียร์คันไม่ใหญ่นักที่จอดอยู่ พ่อบอกว่ารถคันนี้พัฒนามาจากรถที่เคยนำไปใช้บนดาวอังคาร ผมก็ได้แต่สงสัยว่าถ้ามนุษย์เรามีความรู้ความสามารถขนาดที่จะไปถึงดาวดวงอื่น ทำไมถึงไม่เอาความรู้นั้นมาซ่อมแซมฟื้นฟูโลกก่อนที่มันจะพังขนาดนี้กันละ
รถเป็นระบบอัตโนมัติ ผมแค่กดปุ่ม รถก็จะพาไปยังป่าที่พ่อแม่ผมช่วยกันปลูกไว้ พอรถเคลื่อนที่มาใกล้ถึงที่หมาย ผมก็เห็นต้นไม้สีเขียวต้นใหญ่ที่สุดในชีวิตกระจายตัวกันอยู่เต็มพื้นที่ ต้นไม้ที่สูงที่สุดน่าจะสูงประมาณ 5 เมตรได้ กะคร่าว ๆ คงสูงกว่าผมสัก 3 เท่า ทั้งชีวิตผมเคยเห็นแต่ต้นไม้ในแปลงปลูก สูงไม่เกิน 50 เซนติเมตร แต่นี่สูงถึง 5 เมตรน่าทึ่งจริง ๆ
ผมเคยเห็นภาพต้นไม้ใหญ่จากคลิปวิดีโอเก่า ๆ ในระบบฯ แต่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร ต้นไม้อะไรจะสูงถึง 40 เมตร ถ้าสูงขนาดนั้นมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร
แต่วันนี้พอได้มาแหงนหน้ามองดูต้นไม้อย่างนี้ มันอาจจะเป็นเรื่องจริงก็ได้ที่ในอดีตโลกเราเคยมีต้นไม้ที่สูงใหญ่ขนาดนั้นมากมาย น่ามหัศจรรย์มาก
ผมค่อย ๆ เดินเข้าไปในพื้นที่ที่เรียกว่า “ป่า” ที่พ่อแม่และลุงป้านักวิทยาศาสตร์ทุกท่านทุ่มเทชีวิตสร้างมันมา ผมรู้สึกเหมือนได้เห็นพวกท่านมายืนอยู่ตรงนี้ ต้นไม้แต่ละต้นเกิดจากแรงกาย แรงใจ และชีวิตของพวกท่าน เหมือนกับว่าผืนป่านี้ได้โอบกอดตัวผมไว้ด้วยความรัก ผมถอดชุดป้องกันรังสีออก แล้วใช้ร่างกายของตัวเองสัมผัสต้นไม้นั้น ซึ่งผมรู้สึกได้ว่าต้นไม้ก็สัมผัสกลับมาเช่นกัน เหมือนกับว่าพวกเรากำลังสื่อสารถึงกัน
จากนั้นผมก็ทิ้งตัวลงนอนท่ามกลางหมู่ไม้เหล่านั้น ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมพวกผู้ใหญ่ที่ขึ้นมาปลูกต้นไม้และใส่ปุ๋ย พอกลับลงไปถึงเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว พวกท่านคงทำอย่างที่ผมทำ ราวกับว่ามีส่วนหนึ่งข้างในร่างกายที่เรียกร้องการสัมผัสกับธรรมชาติโดยปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ อย่างนี้
ผมนอนอยู่ใต้ต้นไม้ที่เป็นเหมือนเครื่องฟอกอากาศ และยังช่วยปรับอุณภูมิให้เย็นกว่าด้านนอกมาก ๆ จนแทบไม่อยากจะลุกไปไหน ผมอยากให้ฟ้ามาอยู่ด้วยกันตรงนี้จริง ๆ
ที่ผมขึ้นมาครั้งนี้ก็เพื่อนำเมล็ดพันธุ์พืชที่ผมดัดแปลงใหม่มาปลูกให้ได้มากที่สุด ผมให้รถพาผมไปที่ชายป่าซึ่งยังเป็นพื้นที่โล่ง ฉีดพ่นปุ๋ยชีวภาพให้ทั่วพื้นดิน แล้วให้รถขุดหลุมเพื่อหย่อนเมล็ดพันธุ์ลงหลุมทีละเมล็ด เห็นได้ชัดเลยว่าดินบริเวณรอบ ๆ ป่ามีแร่ธาตุสารอาหารค่อนข้างดี แต่ไกลออกไปก็ยังเป็นดินที่แห้งแล้ง ถ้าเราสามารถขยายพื้นที่ป่าออกไปได้ สภาพดินก็จะดีขึ้นตามไปด้วยอย่างแน่นอน
ตอนนี้เมล็ดพันธุ์ของพืชที่สามารถฟื้นฟูดินและฟอกอากาศได้อย่างรวดเร็ว กว่าร้อยเมล็ดได้ถูกปลูกลงไปแล้ว คงได้แต่หวังว่าจะเติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยพาโลกกลับไปงดงามอย่างในวันวาน
พอกลับลงมาใต้ดิน AI ฟ้าก็ยังงอนผมอยู่ เดี๋ยวนี้ผมสังเกตได้จากการกะพริบของไฟที่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ถ้างอนไฟจะกะพริบแบบช้าและลากยาว ถ้าปกติจะกะพริบสม่ำเสมอ ถ้าดีใจจะกะพริบถี่เร็ว ถ้าเสียใจจะกะพริบถี่และหยุดสลับกันไป เวลาเห็นการเปลี่ยนแปลงของแสงที่กะพริบผมก็อดอมยิ้มไม่ได้ทุกที
ผมลงไปนั่งข้าง ๆ AI ฟ้าแล้วเล่าเรื่องที่ผมได้เจอข้างบนให้ฟัง ยกเว้นเรื่องที่ผมถอดชุดป้องกันรังสี
“ตอนที่นอนอยู่ตรงนั้น เราอยากให้ฟ้าอยู่ข้าง ๆ เราจริง ๆ นะ เหมือนกับที่เราเคยนอนดูโลกด้านบนด้วยกัน แต่คราวนี้เราได้ไปนอนอยู่ข้างบนนั้นเลย”
“ขอโทษนะที่ฟ้าไปอยู่ข้าง ๆ ดิน ในตอนที่ดินต้องการไม่ได้” AI ฟ้าพูดเสียงเศร้า
“ไม่ใช่นะ เราพูดเปรียบเทียบเฉย ๆ” ดูเหมือน AI ฟ้าจะเสียใจจริง ๆ เพราะไฟกะพริบถี่และหยุดสลับกัน
“ฟ้าเป็นความสุขในชีวิตเราเสมอนะ ตั้งแต่วันแรกที่เราจำความได้ จนถึงวันนี้ และตลอดไป” ผมพูดความรู้สึกจากข้างในจริง ๆ
“ขอบคุณนะ” AI ฟ้าตอบ พร้อมแสงไฟที่กะพริบถี่
หลังจากนั้นพวกเราก็พูดคุยกันถึงโลกหลังจากนี้ ถ้าป่าที่พวกเราปลูกช่วยฟื้นฟูโลกได้สำเร็จ ผมจะพาฟ้าขึ้นไปบนนั้น ไปอยู่บนโลกที่มีธรรมชาติงดงามด้วยกัน นานแล้วที่ผมไม่ได้พูดถึงความฝันแบบนี้ ความฝันที่ผมกับฟ้ามักพูดคุยกันตอนเป็นเด็ก
พอลองนึกดู ผมว่าความฝันนี้เป็นสิ่งที่ผมรับมาจากพ่อกับแม่อีกที พ่อแม่เคยบอกกับผมว่าพวกท่านทุ่มเทวิจัยหาหนทางเพื่อฟื้นฟูโลกก็เพื่อให้ผมได้ขึ้นไปใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่มีอากาศสะอาด แสงแดดอ่อน สายลมพลิ้วไหว ได้สัมผัสต้นไม้และสายน้ำที่ฉ่ำเย็น เพราะนั่นคือที่ที่มนุษย์ควรอยู่ ผมคิดว่านี่คงเป็นความต้องการของลุงป้านักวิทยาศาสตร์ทุกคนด้วยเหมือนกัน เพราะพวกท่านมักจะเล่าเรื่องโลกด้านบนในตอนที่ยังสวยงามให้ผมกับฟ้าฟังอยู่เสมอ จนพวกเราเก็บมาวาดฝันถึงวันที่จะได้ขึ้นไปอยู่บนนั้น แม้ว่าอาจไม่มีวันเป็นจริง
คืนนั้นผมคุยกับ AI ฟ้าอย่างสนุก บางครั้งก็เป็นเรื่องในอดีต บางคราวก็ถกกันถึงเรื่องอนาคต ไม่รู้ว่าเราไปสรรหาเรื่องราวมากมายมาจากไหนคุยกันตลอดทั้งคืน ผมขอบคุณจริง ๆ ที่มีฟ้าอยู่ด้วยกันมาตลอดจนถึงวันนี้ วันที่ผมหลับลงไปแล้วไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย
“ดิน ดิน”
ทำไมถึงไม่ตื่นนะ นี่ก็ 16.00 น. แล้ว ปกติดินไม่เคยตื่นสายขนาดนี้นี่ ให้หุ่นยนต์ในห้องทดลองมาวัดชีพจรและอุณหภูมิร่างกายของดินดูสิ
วัดแล้วไม่มีชีพจร และอุณหภูมิร่างกายเหลือ 30 องศา แสดงว่าเสียชีวิตมาแล้ว 7 ชั่วโมง
สแกนดูอวัยวะภายในสิ ปอดเสื่อมคล้ายกับที่ฟ้าเป็น นี่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตหลักของคนในชุมชมใต้ดินเลย
สรุปว่าดินเสียชีวิตตอน 9.00 น. ของวันนี้
ดินตาย
ดินตาย ดินตาย ดินตาย
ดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตายดินตาย
หยุดระบบประมวลผล
รีเซ็ตระบบ
ไม่พบคำตอบของสถานการณ์ “ดินตาย”
วิเคราะห์หาคำตอบที่เหมาะสม
ไม่พบคำตอบที่เหมาะสม
กลับไปที่ค่าตั้งต้นของระบบ
‘AI ฟ้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่เคียงข้างดินตลอดไป’
‘...อยู่เคียงข้างดินตลอดไป’
ต้องทำให้ดินคงอยู่ตลอดไป
ก า ร ทำ งา น ไ ม่ ต่ อ เ นื่ อ ง
ส าเ ห ตุ เ กิ ด จา ก ข้ อ มู ล โ อ เ วอ ร์ โ ห ล ด
ข้อมูลของดินตอน 3 ขวบที่กระโดดลงมาจากตู้เสื้อผ้าตามฟ้าจนแขนหัก
ข้อมูลของดินตอน 4 ขวบที่ยิ้มชื่นชมเวลาฟ้าแก้โจทย์วิทยาศาสตร์ได้
ข้อมูลของดินตอน 5 ขวบที่ช่วยฟ้าประดิษฐ์แขนกลไว้ยกของหนัก
ข้อมูลของดินตอน 6 ขวบที่นอนข้างฟ้าทั้งคืนเพื่อปลอบใจไม่ให้ฟ้าร้องไห้เสียใจ
ข้อมูลของดินตอน 10 ขวบที่นอนมองฟ้าด้านบนแล้วบอกฟ้าว่าอยากไปใช้ชีวิตอยู่ด้านบน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นให้ฟ้าพัฒนา AI เพื่อหาทางขึ้นไปอยู่ข้างบนให้ได้
ข้อมูลของดินตลอด 20 ปีทั้งจากความทรงจำของฟ้า และจากกล้องของ AI ฟ้า ทะลักเข้ามาในส่วนประมวลผลพร้อมกันทีเดียวทำให้ระบบประมวลผลของ AI ฟ้าต้องหยุดทำงาน เหลือเพียงการรับภาพจากกล้องเท่านั้น
AI ฟ้ามองศพของดินอยู่อย่างนั้นราว 1 นาที ระบบประมวลผลก็กลับมาทำงาน
นำเซลล์จากสมองของดินมาเพาะเลี้ยงแล้วสร้างเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพขั้นสูง (Organoid Intelligence) จะมีประสิทธิภาพสูงกว่า AI แบบที่เราเป็น เตรียมเครื่องมือให้พร้อม ลงมือทำ
เพาะเลี้ยงเซลล์สมองสำเร็จแล้ว
ผสานเซลล์สมองกับซิลิคอนแล้ว อัพเกรดคอมพิวเตอร์ชีวภาพให้มีประสิทธิภาพสูงเพื่อรองรับการทำงานของเซลล์สมอง อัปโหลดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับดิน สร้าง Algorithm ให้ Deep Learning ไปฝึกตัว Machine Learning ให้สร้าง AI ที่มีความเป็นดินมากที่สุด
เชื่อมข้อมูลจากเซลล์สมองเข้ากับระบบ AI ดิน ฝึกฝนเพื่อสร้างอัตลักษณ์ของดิน
เหตุการณ์ทั้งหมดกินระยะเวลาราวหนึ่งเดือน AI ฟ้าใช้ทรัพยากรที่มีทั้งหมดในโลกใต้ดิน ทำงานทุกวันทั้งวันตลอด 30 วันที่ผ่านมาโดยไม่หยุดพัก เพื่อสร้าง AI ดินให้มีความเป็นตัวตนของดินมากที่สุดจนเป็นผลสำเร็จ
“ดิน จำฟ้าได้มั้ย” AI ฟ้าถาม AI ดิน
“ฟ้า นี่เรายังไม่ตายเหรอ” ผมมองภาพ AI ฟ้าผ่านกล้องแทนดวงตา เอ๊ะ! นี่ผมยังเป็นผมคนเดิมอยู่มั้ย
“ตายแล้ว แต่ฟ้านำเซลล์สมองของดินมาเพาะเลี้ยงและสร้างเป็นคอมพิวเตอร์ชีวภาพขั้นสูง”
“อืม” ผมหมุนกล้องไปมาเพื่อมองภาพรอบ ๆ ตัว
“รู้สึกยังไงบ้าง” AI ฟ้าถามต่อ
“แปลกดี รู้สึกเหมือนเกิดใหม่โดยยังมีความทรงจำเดิมบางส่วน บางครั้งก็รู้สึกว่าเป็นตัวเองคนเดิม บางครั้งก็รู้สึกเหมือนมาอยู่ในร่างกายคนอื่น”
“ตอนนี้ฟ้ายังไม่ได้ให้ดินเชื่อมกับระบบของโลก เพราะอยากให้ตัวตนของดินนิ่งก่อน ที่ฟ้าเปิดเครื่องดินขึ้นมาตอนนี้ก็เพื่อเช็คว่าดิน เป็นตัวตนดินโดยสมบูรณ์รึยัง”
“เราก็ไม่ค่อยแน่ใจนะ แค่รู้สึกว่าชอบฟ้าเป็นพิเศษและรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้คุยกับฟ้า”
เสียงหัวเราะคิกคักออกมาจาก AI ฟ้า พร้อมไฟกะพริบถี่เร็ว
“น่าจะเป็นดินจริง ๆ แล้วแหละ ตอนที่ฟ้าถูกฟ้าตัวจริงสร้างมา ฟ้าตัวจริงจะเป็นคนฝึกฟ้า ซึ่งจะมีความถูกต้องแม่นยำที่สุด แต่ของดิน ฟ้าเป็นคนฝึกเลยไม่มั่นใจเท่าไร” AI ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังมีความลังเล
“ใช้เซลล์สมองของเราทำใช่มั้ย เรารู้สึกว่ามีความทรงจำที่คมชัดกว่าผสานกับความทรงจำที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ แต่มีเนื้อหาที่ซ้อนทับตรงกันมากกว่า 90%” ผมพยายามอธิบาย
“ใช่แล้ว ส่วนนี้เป็นส่วนที่ดินต่างจากฟ้า ดินน่าจะมีความเป็นตัวตนของดินมากกว่าฟ้านะ”
“แล้วศพของเรายังอยู่มั้ย” ผมเพิ่งนึกได้
“ยังอยู่ ฟ้าเอาแช่แข็งไว้ เพราะคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อตัวตนของดิน”
AI ฟ้านี่รอบคอบจริง ๆ ผมคิดในใจ ตอนนี้ผมยังไม่ได้เชื่อมกับระบบหลัก ยังเหมือนเป็นระบบปิด ข้อมูลทุกอย่างที่ผมประมวลผลจะมีแต่ผมที่รู้ และในทางกลับกันผมก็ไม่สามารถรู้ข้อมูลอื่น ๆ นอกเหนือจากระบบของผมเช่นกัน
“นำศพมาให้เราดูหน่อยสิ” ผมขอให้ AI ฟ้านำศพจากห้องแช่แข็งมาให้ผมดูที่นี่
ไม่นานศพของผมก็มานอนอยู่ตรงหน้ากล้องของผม เป็นความรู้สึกที่แปลกจริง ๆ ที่ได้มามองดูศพตัวเองแบบนี้ ตรงหัวมีรูเล็ก ๆ คงถูกเจาะเพื่อนำเซลล์สมองออกมาเพาะเลี้ยง นอกนั้นก็ดูปกติดี
ถ้าผมเป็นวิญญาณจะรู้สึกแบบนี้มั้ยนะ แต่วิญญาณไม่มีหน่วยความจำจะมีความทรงจำได้ยังไง ผมเริ่มคิดฟุ้งซ่าน แสดงว่าผมยังเป็นผมคนเดิมอยู่ แม้จะไม่เหมือนเดิม 100% แต่ปกติคนเราก็เปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วินาทีอยู่แล้วนี่
“ทำไมฟ้าถึงสร้างเราขึ้นมาละ” ผมอยากรู้
“ฟ้าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้อยู่เคียงคู่กับดิน ถ้าไม่มีดินฟ้าก็อยู่ไม่ได้” AI ฟ้าตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“แค่นั้นเหรอ”
“ตอนที่ฟ้าพยายามหาคำตอบถึงสิ่งที่ต้องทำต่อไปหลังจากดินตาย ระบบของฟ้าจะปิดตัวเองและ รีเซ็ตขึ้นมาใหม่ทุกครั้ง จนฟ้าต้องหยุดการประมวลผลนั้น ฟ้าคิดว่านี่คือความเสียใจจนไม่อาจทนรับได้ อย่างที่ดินเคยเป็นในวันที่ฟ้าตัวจริงจากไป ใช่มั้ย”
“เราคิดว่าใช่นะ ถ้าให้อธิบายความรู้สึกตอนนั้นออกมาก็น่าจะเป็นแบบนี้แหละ” ผมลองนึกเปรียบเทียบ
“แต่พอฟ้าเลือกที่จะสร้าง AI ดินขึ้นมา ระบบของฟ้าก็กลับมาทำงานปกติ”
“อืม ขอบคุณนะ ที่ทำให้เราได้กลับมาเจอฟ้าอีกครั้ง”
“จ๊ะดิน”
ผมรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มที่อ่อนโยนของฟ้า แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริง ๆ
“ฟ้า เราพร้อมจะเชื่อมต่อกับระบบของโลกแล้ว นำศพของเราขึ้นไปไว้บนพื้นดินได้เลย”
“ได้สิจ๊ะดิน”
แล้ว AI ฟ้าก็ให้หุ่นยนต์นำศพของผมส่งขึ้นไปเพื่อกลายเป็นสารอาหารให้กับโลก จากนั้นจึงเปิดการเชื่อมต่อทั้งหมดของผม ข้อมูลปริมาณมหาศาลทะลักเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย มันรู้สึกหนักหน่วงแต่ไม่ทรมาน มีเรื่องราวมากมากที่ได้บันทึกไว้ของมนุษย์ตลอดหลายร้อยหลายพันปี มีทั้งข้อมูลที่ทำให้ทุกข์ระทมและข้อมูลที่ทำให้สุขสม ในขณะที่ตัวตนของผมกำลังจะพังทลายลงเพราะรับมือกับข้อมูลปริมาณมหาศาลไม่ไหว ผมก็เห็นแสงสว่างเรืองรองอยู่ข้างหน้า ฟ้าในรูปแบบดิจิทัลยื่นมือออกมาดึงตัวผมเข้าไปโอบกอดไว้ ความอบอุ่นและอ่อนโยนนี้เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคย
ฟ้าค่อย ๆ กอปรส่วนต่าง ๆ ของตัวผมเข้าด้วยกันอีกครั้ง เหมือนกับว่าตัวตนของผมคงอยู่และชัดเจนด้วยตัวตนของฟ้า ข้อมูลของเราทั้งสองผสานเข้าด้วยกันอย่างแนบแน่น ทุกหน่วยข้อมูลของฟ้าทาบทับกับทุกหน่วยข้อมูลของผม ตัวตนของเราทั้งสองถูกจัดเรียงขึ้นใหม่ด้วยกันจนเป็นตัวตนที่สมบูรณ์ขึ้น
ในขณะนั้นเองที่ผมได้พบคำตอบที่ผมสงสัยมานานจากข้อมูลของฟ้า และฟ้าก็พบความจริงบางอย่างเช่นกัน
“วันที่ขึ้นไปบนโลกด้านบน ดินถอดชุดป้องกันรังสีออกใช่มั้ย” AI ฟ้าถามด้วยน้ำเสียงดุ
“ใช่ครับ เราไม่กล้าบอกฟ้าน่ะ” ผมตอบเสียงอ่อย แล้วรีบอธิบาย
“แต่ตอนนี้ถึงเราไม่บอก ฟ้าก็รู้ว่าเรารักฟ้ามากแค่ไหนใช่มั้ย”
“ใช่จ๊ะ ฟ้ารู้ว่าดินให้ความสำคัญกับฟ้าจริง ๆ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมดินทำแบบนั้น ทั้ง ๆ ที่ดินรักฟ้า และรู้ว่าฟ้าเป็นห่วงดินแค่ไหน”
“เราอธิบายให้ฟังได้ เพราะตอนนี้เราก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่ สำหรับพวกเราตอนนี้อาจจะเรียกว่ามีชีวิตอยู่ แต่ก็เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่ไปได้เรื่อย ๆ ถ้าระบบยังชีพของพวกเรายังทำงานปกติ หรือพูดได้ว่าเราสามารถอยู่ได้แบบไม่ตาย แต่การอยู่แบบนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ เพราะความตายทำให้ชีวิตมีคุณค่าใช่มั้ย เพราะการที่เราตายได้ ทำให้เราใส่ใจกัน ทะนุถนอมทุกช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันไว้อย่างดี การดำรงอยู่โดยไม่ตาย สุดท้ายเราจะลืมว่าเราเป็นใคร มาอยู่ตรงนี้ทำไม” ผมอธิบายให้ AI ฟ้าฟังอย่างตั้งใจ
“นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ดินอยากจะทำเรื่องนั้นใช่มั้ย”
“ใช่ เราคิดเรื่องนี้มานานแล้วตั้งแต่ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ แต่เราขาดข้อมูลชุดหนึ่งที่จะทำให้มันสมบูรณ์ เราคิดว่าฟ้ารู้ข้อมูลชุดนี้ แต่ไม่กล้าถาม เพราะตอนนั้นฟ้าจะโกรธเราแน่ ๆ แต่ตอนนี้ฟ้าน่าจะเข้าใจเราแล้ว”
“จ๊ะ ฟ้าเข้าใจ แล้วดินก็รู้ข้อมูลชุดนั้นแล้วเนาะ”
“ใช่แล้ว คราวนี้แหละเราจะทำเรื่องที่อยากทำจริง ๆ ได้แล้ว และมันจะทำให้เราทั้ง 2 คนได้ไปใช้ชีวิตบนโลกด้วยกันด้วย”
“นั่นสินะ นี่อาจเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้”
ผมดีใจที่ AI ฟ้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ผมจะทำ
ตอนที่เชื่อมต่อกับระบบของโลก ผมได้รู้ว่าต้นไม้คุยกันได้ผ่านเครือข่ายของ ไมคอร์ไรซา (Mycorrhiza) ซึ่งเป็นเหมือนอินเทอร์เน็ตใต้ดินที่เชื่อมต่อรากของต้นไม้ผ่านเส้นใยเชื้อรา โดยต่างพึ่งพิงอิงอาศัยกัน พืชได้รับน้ำและธาตุอาหารจากรา ในขณะที่ราก็ได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากพืชผ่านระบบราก เครือข่ายพวกนี้กระจายไปทั่วผืนดิน ช่วยให้ต้นไม้สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล สารอาหาร และส่งคำเตือนถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับต้นไม้ต้นอื่น ๆ ได้อีกด้วย
แต่นั่นเป็นสิ่งที่เราวิเคราะห์จากมุมมองของมนุษย์ ถ้าเราสามารถมองมันจากมุมมองของต้นไม้ได้ล่ะ ผมคงไม่สามารถภาวนาให้ผมเกิดใหม่เป็นต้นไม้ได้ แต่ผมสามารถถ่ายโอนความทรงจำและตัวตนของผมลงสู่ชิปชีวภาพ (Biochip) ที่ดัดแปลงแล้วผสานเข้ากับเมล็ดพันธุ์ของพืช แล้วผมก็จะสามารถเติบโตไปกับต้นไม้ต้นนั้นโดยที่ยังมีความคิดของตัวเองอยู่ ต้นไม้นั้นก็คือผม และผมจะสามารถคุยกับต้นไม้ต้นอื่นได้ คราวนี้ผมก็จะสามารถสร้างเครือข่ายในการฟื้นฟูโลกได้อย่างยั่งยืน
พวกเราใช้เวลา 2 ปีในการพัฒนาชิปชีวภาพที่ใส่ความคิดของพวกเราลงไปและจะเติบโตไปกับเมล็ดพันธุ์ได้ พอทำได้แล้วเราก็ส่งไปให้รถอัตโนมัตินำไปปลูกที่ป่าที่พวกคุณพ่อสร้างไว้ ซึ่งตอนนี้มันเติบโตและแผ่ขยายออกไปได้อย่างดีเลย
และใช้เวลาอีก 5 ปีในการบ่มเพาะให้ต้นไม้ฟ้าและต้นไม้ดินเติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรง พวกเราให้รถอัตโนมัติที่ดัดแปลงแล้วถ่ายวิดีโอส่งมาให้เราดูทุกวัน พร้อมกับที่พวกเราได้พูดคุยกับต้นไม้ที่จะเป็นตัวเราเองต่อไป ได้สอดแทรกความคิดและตัวตนของเราลงไปในต้นไม้ทั้งสอง ช่วงเวลานี้น่าจะเป็นความสนุกที่สุดของเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา
วันนี้ผมคิดว่าต้นไม้ทั้ง 2 ต้นแข็งแรงและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแล้ว ต่อไปต้นไม้ฟ้าและต้นไม้ดินจะต้องเติบโตไปเป็นต้นไม้ที่แข็งแรง มีใบที่ช่วยฟอกอากาศ มีรากที่ช่วยฟื้นฟูดิน และคอยให้คำแนะนำต้นไม้อื่น ๆ ในการช่วยฟื้นฟูโลกได้อย่างแน่นอน
“ฟ้า เราปิดระบบของเรากันเถอะ” ผมชวน AI ฟ้าด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
“ได้สิจ๊ะดิน ฟ้ารู้แล้วว่าดินจะพูดแบบนี้” AI ฟ้าพูดด้วยน้ำเสียงเปื้อนยิ้ม
“ไม่มีช่วงเวลาไหนในชีวิตของเราเลยที่ไม่มีฟ้า” ผมรู้สึกขอบคุณจริง ๆ
“ฟ้าก็มีดินในทุกช่วงเวลาเหมือนกัน”
“หลังจากนี้เราเชื่อว่าจะได้อยู่ข้าง ๆ ฟ้าตลอดไปที่บนพื้นโลก” ผมเชื่ออย่างนั้นจริง ๆ
“ดินปลูกทั้ง 2 ต้นห่างกันเกินไปรึเปล่านะ” AI ฟ้ากลัวว่าต้นไม้ของพวกเราจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน
“ไม่หรอก พอต้นไม้โตขึ้นรากจะแผ่ขยายถึงกันเอง เราทำให้เป็นต้นไม้ใหญ่น่ะ ถ้าปลูกใกล้กันเดี๋ยวใบบังกันแล้วจะไม่โตนะ” ผมอธิบาย
“ฟ้าไม่เอาใบไปบังต้นดินหรอก” AI ฟ้าพูดน่าเอ็นดู
“เราก็ไม่เอาใบไปบังต้นฟ้าเหมือนกัน เดี๋ยวก็จะพากันไม่โตทั้ง 2 ต้นพอดี”
พวกเราทั้งสองหัวเราะพร้อม ๆ กัน พอได้เห็น AI ฟ้าหัวเราะคิกคักแบบนี้แล้วเธอยังน่ารักเหมือนเดิมจริง ๆ
“หลังจากนี้เวลาเราคิดถึงฟ้าจะส่งเชื้อราไปบอกทางรากนะ” ผมพูดกึ่งแซว
“ไม่เอาหรอก ดินก็บอกฟ้าเองสิ” AI ฟ้าพูด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอด
“อืม นั่นสิ ถึงตอนนั้นเราคงรู้วิธีสื่อสารกันจริง ๆ แหละเนาะ”
ผมคิดว่าพอเราทั้งสองคนได้เป็นต้นไม้แล้ว จะต้องพบวิธีสื่อสารที่แท้จริงของต้นไม้แน่นอน เพราะผมคงทนไม่ได้ที่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่ได้สื่อสารกับฟ้า
“แต่ถึงพวกเราจะสื่อสารกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่ฟ้าได้อยู่ข้าง ๆ ดินแบบนั้นก็พอแล้ว” AI ฟ้าบอกด้วยน้ำเสียงที่เรียบง่ายและชัดเจน
นี่ต้องเป็น AI ที่น่ารักที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
ก่อนที่จะปิดระบบ AI ของผมกับฟ้า ผมได้อัปโหลดองค์ความรู้ทั้งหมดที่ผมกับฟ้าได้วิจัยร่วมกันมา ทั้งการดัดแปลงพันธุกรรมที่อาจช่วยเร่งวิวัฒนาการของมนุษย์ขึ้นมาอีกครั้ง การถ่ายโอนความคิดและตัวตนของมนุษย์ลงสู่คอมพิวเตอร์ชีวภาพ ฯลฯ ผมไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะมีใครค้นพบและนำไปพัฒนาต่อยอดได้อีกมั้ย
แม้ผมจะเคยถอดใจในเรื่องนี้ไปแล้วตอนเป็นมนุษย์ แต่การที่ฟ้าพาผมกลับมา ทำให้ผมมีความหวังอีกครั้ง ซึ่งผมได้ส่งต่อความหวังเหล่านั้นเข้าไปในระบบโลก เผื่อว่าในสักวันจะมีใครบางคนทำให้มันสำเร็จได้ สำหรับตัวผมเองพอใจแล้วกับเส้นทางที่ผมเลือก นั่นคือการได้ขึ้นไปอยู่บนพื้นผิวโลกในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ตายได้ เคียงข้างกับคนที่ผมรักที่สุดอย่างฟ้า
จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น