วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555
หนังบันดาลใจ
ถ้าไม่มี Star Wars ในวันนั้น คงไม่มีผมในวันนี้ พูดแบบนี้อาจฟังดูเกินจริงไปนิด แต่ให้ปฏิเสธเลยคงไม่ได้
ในช่วงเวลาชีวิตของคนหนึ่งคน มีสิ่งใดบ้างที่ก่อร่างสร้างตัวตนของคนๆ นั้นขึ้นมา
ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในดวงตา หู และสัมผัสต่างๆ ถูกแปลความหมายและบันทึกไว้ในความทรงจำ จนตัวแปรใหม่ๆ เข้ามาจึงได้สร้างเป็นความหมาย กลายเป็นความคิดและตัวตน
คนอย่างเราๆ คงจำไม่ได้ทั้งหมดว่าเคยพบเคยเจออะไรมาบ้าง แต่สมองอาจไม่ได้ทิ้งขว้างสิ่งเหล่านั้น เพียงแต่บางครั้งเก็บไว้ในส่วนลึกเกินไปสักหน่อย แต่ถึงวันหนึ่ง มันจะปรากฏออกมา
สำหรับตัวผม เคยชม Star Wars ครั้งแรกตั้งแต่ยังจำความได้ไม่ดีนัก น่าจะตอนอนุบาล (เป็นโรงภาพยนตร์ต่างจังหวัดที่นำกลับมาฉายใหม่ เกิดไม่ทันตอนหนังฉายหรอกนะครับ) ภาพที่จำได้แน่นสนิทคือฉากที่ ลุค สกายวอล์คเกอร์ โดน ดาร์ธ เวเดอร์ ฟันแขนขาด ก่อนที่ ดาร์ธ เวเดอร์ จะเอ่ยวาทะอมตะออกมาว่า “ข้าคือพ่อของเจ้า!” ส่วน ลุค ก็ตอบกลับมาว่า “ม่ายยยยย” แล้วก็หล่นหายไป ส่วนผมก็ม่อยหลับไปด้วยความเยาว์วัย
ตอนเป็นเด็กเราดูหนังเรื่องไหนก็คิดว่าเป็นจริงไปหมด ทั้งดาบเลเซอร์สีสันสดใสมีเสียงดังหึ่งๆ ยานอวกาศที่วาร์ปได้ หรือสัตว์ประหลาดต่างดาวหน้าตาแปลกๆ ฯลฯ ยิ่งประทับใจก็ยิ่งตราตรึงในใจ
เด็กๆ จึงมีความสุขเสมอที่ได้ชมภาพยนตร์ที่มีความสร้างสรรค์ สวยงาม แปลกตา การสอดแทรกข้อคิดดีๆ ในภาพยนตร์เหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่ดีมาก
จนเมื่อวันหนึ่งเราโตขึ้น ได้รับข้อมูลมากขึ้น จึงรู้ว่าเรื่องราวเหล่านั้นไม่ได้เป็นจริง (ในยุคสมัยนั้น แต่หลายอย่างกลายเป็นจริงในปัจจุบัน) โลกแห่งความฝันของเราจึงค่อยๆ สลายไปทีละดวง ตามปริมาณความจริงที่ถาโถมเข้ามา ทำให้บางครั้งเหมือนหนทางชีวิตที่เราเคยวาดฝันไว้ปิดแคบลง ความเป็นไปได้ต่างๆ สูญหายไป
แต่แล้วในวันหนึ่งสำหรับผม ชิ้นส่วนความทรงจำชิ้นนี้ (Star Wars ) ก็ได้เชื่อมต่อเข้ากับชิ้นส่วนอื่นๆ ทั้งเก่าและใหม่ จนกลายเป็นประตูบานใหญ่ที่เปิดออกสู่โลกแห่งจินตนาการ โลกที่อาจไม่มีอยู่จริงให้สัมผัสได้ด้วยมือ แต่เรายังสัมผัสได้ด้วยใจ พื้นที่แห่งความฝันจึงยังคงมีชีวิตอยู่
แม้เราไม่อาจรู้ว่าภาพยนตร์ที่เคยดูมาเรื่องไหน จะมีผลกับเราเมื่อไรและแบบใด แต่สิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา ย่อมไม่สูญหายไปทั้งหมด ยังคงทิ้งร่องรอย ฝากเชื้อแห่งความคิดและการตัดสินใจไว้ให้เราเสมอ
โดยเฉพาะภาพยนตร์ ซึ่งก็คือเรื่องราวของ “มนุษย์” แม้บางครั้งจะเล่าผ่านสัตว์ หรือตัวการ์ตูน แต่ก็เป็นมนุษย์นั่นเองที่เป็นผู้เล่า เรื่องราวจึงมีส่วนใกล้เคียงกับชีวิตของเรา หรืออาจพูดได้ว่าภาพยนตร์ก็คือเรื่องราวของเรา ไม่คุณก็ผม หรือใครสักคน ต้องอยู่ในหนังเรื่องไหนสักเรื่องบนโลกใบนี้
บางเรื่องอาจพูดถึงอดีต หรือทำนายอนาคตของเราได้แม่นยำราวกับมีจิตสัมผัส หลายเรื่องได้เข้าไปขับไล่น้ำตาเราให้ไหลริน หรือทำให้เราดำดิ่งกับเรื่องราวไปได้หลายวัน
หากสิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นกับคุณ บางทีครั้งต่อไปที่คุณชมภาพยนตร์ คุณอาจได้เห็นเรื่องราวของคุณหรือคนที่คุณรู้จักอยู่ในนั้นก็ได้นะครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น