วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ถ้าวันนั้นมาถึง...


ถ้าสัตว์ป่าสูญพันธุ์หมดโลกแล้วจะเป็นยังไง

ตั้งแต่เกิดมา จะมีสักกี่คนที่เคยเห็นสัตว์ป่าใช้ชีวิตในธรรมชาติด้วยตาของตัวเองจริงๆ ส่วนใหญ่ก็คงเคยเห็นพวกมันในสวนสัตว์ หรือเคยเห็นพวกมันในโทรทัศน์เหมือนพวกดารา

ส่วนผมได้เห็นพวกมันจริงๆ ครั้งแรก ก็ตอนที่ผมมาทำภาพยนตร์สารคดีธรรมชาตินี่เอง

โชคดีอย่างหนึ่งคือ ไม่มีทีมงานคนไหนออกปากว่ารักธรรมชาติ เพราะผมก็ไม่ ผมจะรักในสิ่งที่ผมไม่รู้จักได้ยังไง

การทำสารคดีธรรมชาติ ก็คือการถ่ายภาพธรรมชาติมาเล่าให้คนดู ส่วนธรรมชาติจะเป็นยังไง เราก็ไม่เคยสนใจอยู่แล้ว เพราะไม่ว่ามันจะสมบูรณ์หรือเสื่อมโทรม เราก็เอามาเล่าเป็นเรื่องได้ทั้งนั้น

เราก็แค่เฝ้าดูและถ่ายทอดมันตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง

นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในตอนแรก...

แต่ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่ผมได้ทำงานสารคดีชิ้นนี้ เดินทางไปถ่ายทำทั่วทุกภาคของประเทศไทย รวมทั้งป่ามรดกโลก

ผมไม่เคยเจอป่าไหนที่สมบูรณ์เลย หรือผมอาจเข้าใจผิดไปเอง เพราะป่าที่ปลูกใหม่โดยมนุษย์ หรือป่าที่มีถนนตัดผ่านและมีรถวิ่ง พวกนี้คือป่าที่สมบูรณ์แล้ว

ผมก็คงไม่มีทางรู้หรอก เพราะดันเกิดช้าไปหลายร้อยปี

ในการทำสารคดีชิ้นนี้ ผมมีหน้าที่เขียนบทภาพยนตร์ บทที่ควรจะเล่าเรื่องราวที่สวยงามของธรรมชาติ เพื่อทำให้คนดูได้รู้จักและรักธรรมชาติ

แต่ธรรมชาติที่ผมได้เห็นจริงๆ นั้น กลับเป็นธรรมชาติที่หวาดกลัวและหนีสุดชีวิต เมื่อรับรู้ว่ามีมนุษย์อยู่บริเวณนั้น

ฝูงช้างป่าเกือบ 20 ตัว ที่วิ่งหนีสุดฝีเท้าแทบจะเหยียบกันตาย เพียงเพราะลมเปลี่ยนทิศพัดเอากลิ่นของเราไปทางนั้น แม้จะอยู่ห่างกันเกือบ 200 เมตร

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมตกใจจริงๆ ว่าสิ่งมีชีวิตอื่น หวาดกลัวเราถึงขนาดนี้

จนผมคิดว่าสัตว์ป่าเหล่านี้คงมีการถ่ายทอดเรื่องราวของมนุษย์ไว้ใน DNA ของพวกมันมาหลายชั่วรุ่นว่า กลิ่นและรูปร่างหน้าตาของมนุษย์นั้นคือ ความอันตราย ความตาย และการทำลายล้าง ที่ทำให้ พ่อ-แม่, ปู่-ย่า, ตา-ยายของพวกมันต้องตายไปจนหมดแล้ว

หากนั่นคือเรื่องราวที่สัตว์ป่าเล่าสืบทอดกันมาจริงๆ มนุษย์อย่างเราควรรู้สึกอย่างไร พวกเราผู้เรียกตัวเองว่า สัตว์ประเสริฐ

ทั้งๆ ที่ทีมงานก็พยายามเต็มที่ในการถ่ายทอดเรื่องราวที่แท้จริงของธรรมชาติ แต่ทุกครั้งที่เข้าไปถ่ายทำสารคดี ผมก็รู้สึกได้ถึงความแปลกแยก รถยนต์ที่เข้าไปวิ่งในป่าส่งเสียงดังและควันพิษ เตาแก๊ส ไฟฉาย และกล้องวีดีโอที่ต้องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ

เราพาโลกของเราเข้าไปในป่า แล้วแสร้งทำตัวให้กลมกลืนกับธรรมชาติ

ทำบังไพรเพื่อเข้าไปซ่อน นั่งนิ่งๆ เงียบๆ ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แล้วค่อยออกมาหลังดวงอาทิตย์ตก กลับมาก็ปวดเมื่อยทั้งตัว

ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เจอสัตว์ที่ต้องการถ่าย ในแต่ละครั้งที่ออกไปถ่ายทำ เราจะได้ภาพที่เราต้องการประมาณ 30% เป็นอย่างมาก

หรือมันมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ ผมก็ไม่รู้เพราะทั่วโลกเขาก็ทำกันแบบนี้

แม้ในใจลึกๆ จะรู้สึกขัดแย้ง แต่ความคิดของผมก็ยากที่จะเข้าใจธรรมชาติจริงๆ

เราใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือนในแต่ละปี ที่อยู่ในป่าเพื่อถ่ายภาพสัตว์ป่า แต่เวลา 3 ปีที่ผ่านไป ความคืบหน้าของงานยังอยู่ในระดับทารก

หรือว่าไม่เหลือสัตว์ป่าในเมืองไทยให้เราถ่ายทำสารคดีแล้ว

ก่อนหน้านี้ผมเคยสงสัยเสมอเวลามีคนพูดว่าสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์จากเมืองไทยแล้ว

พวกเขารู้ได้อย่างไร?

3 ปีที่ผมทำงานมา ผมลัพธ์ของภาพถ่ายอันน้อยนิดที่ถ่ายทำได้ อาจเป็นคำตอบลางๆ แต่มันก็เป็นเวลาที่สั้นเกินกว่าจะตอบคำถามนี้ วันที่งานสำเร็จผมหวังว่าจะตอบคำถามนี้ได้ อย่างน้อยก็ให้เข้าใกล้คำตอบมากกว่านี้

ผมไม่เคยรู้หรอกว่าช่วงที่สัตว์ป่ามีเยอะเป็นยังไง แล้วตอนนี้เรียกว่าสัตว์ป่าเหลือน้อยรึเปล่า

ถ้าหากสัตว์ป่าจะสูญพันธุ์ เราต้องพยายามให้มันอยู่รอดมั้ย หรือมันก็เป็นไปตามกระบวนการวิวัฒนาการ ที่ผู้ที่เหมาะสมจึงจะอยู่รอด

ธรรมชาติจะเป็นผู้คัดเลือกเอง

แล้วมนุษย์ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมั้ย มีสิทธิที่จะไปกำหนดการคงอยู่หรือสูญสิ้นของสายพันธุ์อื่นรึเปล่า

ถ้าสัตว์ป่าสูญพันธุ์หมดโลกแล้วจะเป็นยังไง

ผมไม่แน่ใจว่าจะรู้คำตอบนี้ในช่วงชีวิตของผมไหม ถ้าผมอายุยืนก็อาจเป็นไปได้

แต่หากผมอยู่ไม่ถึงวันนั้น

ผมคงต้องทิ้งคำถามนี้ไว้ให้คนรุ่นต่อไป...อาจไม่นานนัก

เป็นคนตอบว่า โลกที่ไม่มีสัตว์ป่าเหลืออยู่อีกแล้ว เป็นอย่างไร

มนุษย์ยังคงมีความสุขดีมั้ย?

ชมผลงานสารคดีที่ออกฉายในปี 2556

1 ความคิดเห็น:

  1. เขียนปี 2553 ตอนอยู่บริษัทกรีนเอเชีย โปรดักชั่น ครับ

    ตอบลบ