วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

สมิง

ชีวิตส่วนใหญ่ของผมอยู่ในป่า
            น่าจะตั้งแต่ที่ผมเริ่มถ่ายภาพธรรมชาติ ทีแรกผมก็เป็นเหมือนนักท่องเที่ยวทั่วๆ ไป อยากเข้ามาชมความงามของธรรมชาติ แล้วก็พกกล้องมาถ่ายรูปด้วย แต่พอนานวันเข้ากลับกลายเป็นว่าการถ่ายรูปผลักดันให้ผมเข้าป่า เพื่อหาความงดงามใหม่ๆ ให้บันทึก จากต้นไม้ ดอกไม้ กลายเป็นนก จนกระทั่งเป็นสัตว์ที่ใหญ่ขึ้น
            ในป่าเหมือนมีมนต์ที่ทำให้คนอยากเข้ามาค้นหาความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้จากที่ไหน    
               น่าจะเกือบ 15 ปีแล้วที่ผมเข้ามาถ่ายรูปสัตว์ป่าอย่างจริงจัง การถ่ายรูปสัตว์ป่าไม่เหมือนการถ่ายรูปแบบอื่นๆ เพราะไม่แน่ว่าเราจะได้เจอสัตว์ที่เราตั้งใจไว้รึเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไม่ได้เจอ
            เราจึงต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนั้นๆ ทั้งทางกายภาพและพฤติกรรม รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่สัตว์ชนิดนั้นๆ อาศัยอยู่ ถ้าเป็นสัตว์ชนิดที่มีนักวิจัยกำลังติดตามศึกษา เราก็ต้องประสานผ่านทางทีมวิจัย เพื่อสร้างโอกาสสูงสุดในการได้ถ่ายภาพสัตว์ชนิดนั้นๆ
            ในเมืองไทยมีทีมนักวิจัยสัตว์ป่าอยู่หลายทีมตามเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฯ และอุทยานฯ ทั่วประเทศ
            สำหรับสัตว์บางชนิดผมใช้เวลานับปีเพียงเพื่อจะได้เห็นตัว และเฝ้าติดตามอีกหลายปีเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ
            มันอาจเป็นเรื่องแปลกในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้คนก้มหน้าเล่นกับโทรศัพท์ในมือเพื่อเชื่อมต่อโลกทั้งใบ แต่ยังมีคนอย่างผมที่ทิ้งการสื่อสารทุกอย่างเพื่อแบกอุปกรณ์ถ่ายภาพน้ำหนักกว่า 10 กิโลกรัม เดินเข้าไปในป่า 5-10 กิโลเมตร มานั่งเงียบๆ อยู่เป็นวันๆ ในบังไพรเล็กๆ ที่ทั้งร้อนและเต็มไปด้วยแมลง เพียงเพื่อจะได้ภาพถ่ายใบเดียว
            แต่ภาพถ่ายใบเดียวใบนั้น อาจไม่มีวันเกิดขึ้นอีกแล้วก็เป็นได้ เพราะสัตว์ป่าชนิดนั้นได้สูญพันธุ์ไป หรือเพราะผืนป่าบริเวณนั้นถูกทำลายจนสัตว์ป่าไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ตลอดระยะเวลาการถ่ายภาพสัตว์ป่าของผม แนวโน้มมันเป็นเช่นนั้น แนวโน้มที่ว่าทุกอย่างจะสูญสลายไป
            เพราะฉะนั้นสำหรับผมมันจึงคุ้มค่าเหลือเกินเพื่อภาพถ่ายใบเดียวนั้น 
            ต้นไม้ตายลงยังนำมาใช้ก่อสร้างบ้านเรือนและของใช้ สัตว์ป่าตายลงยังเป็นอาหารให้กับชีวิตในผืนป่า แต่มนุษย์ตายลงแทบไม่เหลืออะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับชีวิตอื่นเลย
            ภาพถ่ายสัตว์ป่าเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่ผมหวังว่าจะทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้เห็นว่าครั้งหนึ่งแผ่นดินไทยของเราก็เคยมีสัตว์ป่าเช่นนี้ เคยมีธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์         

            แน่นอนว่าวันนี้ผมก็อยู่ในป่า

            ลุงแดง อดีตพรานป่า เข้าป่าล่าสัตว์ตั้งแต่ยังเด็ก ทำมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่ จนทุกวันนี้แกเลิกอาชีพพรานแล้วหันมานำเที่ยว พานักท่องเที่ยวเดินป่าตามด่านสัตว์เพื่อดูสัตว์ป่าและถ่ายรูป บางครั้งก็พาส่องสัตว์ตอนกลางคืน แกบอกว่าทุกวันนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยอะ ทำให้มีรายได้พออยู่พอกิน แต่ยังยิงหรือจับสัตว์เล็กๆ อยู่บ้าง มันอดไม่ได้คงเป็นนิสัยของแกไปแล้ว
            สมัยก่อนป่าแถบนี้เคยมีกระทิงให้แกยิงไม่ขาด เพิ่งมา 10 ปีหลังนี่แหละที่ไม่เหลือให้แกล่าอีกแล้ว พอสัตว์ป่าเริ่มน้อยลง พร้อมๆ กับทางการกวดขันเรื่องล่าสัตว์  โดยให้โอกาสพรานป่าได้กลับใจมาเป็นผู้พิทักษ์ป่าแทน แกเลยเลิกล่าสัตว์แล้วมาช่วยงานเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะหันไปนำเที่ยว
            ทุกวันนี้แกอายุ 50 ปีแล้ว เห็นแกตัวเล็กๆ แบบนี้แต่แกร่งน่าดู แกยังเดินป่าได้วันละ 20 กิโลเมตร เพื่อหาของป่าและจับสัตว์เล็กๆ มาขายหรือทำอาหาร แกบอกว่าเหมือนเข้ามาเดินเล่น อยู่บ้านเฉยๆ ก็เบื่อ เพราะช่วงที่นักท่องเที่ยวเยอะจะเป็นหน้าหนาว พอหน้าฝนก็ไม่มีคน แกเลยต้องหาอะไรทำบ้าง      
            ของป่าและสัตว์เล็กๆ ที่หามาได้ แกก็เอามาให้เมียแกทำกับข้าวขายให้ชาวบ้านแถวนั้น เห็นเขาว่าเมียแกทำอาหารอร่อยรสจัดจ้านไม่หวงเครื่อง                       
           
            ลุงแดงเป็นคนนำทางของผมในครั้งนี้

            ผมเพิ่งเคยเข้าป่าแถบนี้เป็นครั้งแรก เพราะทางการอนุญาตให้นักท่องเที่ยวหรือคนทั่วไปเข้ามาได้เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ก่อนหน้านี้ทางการได้ปิดพื้นที่เพื่อทำการฟื้นฟูสภาพป่า เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงและเชื่อมโยงกับผืนป่าใหญ่อีก 2 แห่ง หากปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาโดยไม่มีการควบคุม ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์อาจเสียไป
            การฟื้นฟูป่านั้นทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ไม่ให้มีมนุษย์เข้าไป ป่าก็จะทำการฟื้นฟูตัวมันเอง ระบบของธรรมชาติเป็นเช่นนั้น
            ปัจจุบันป่าแถบนี้ฟื้นตัวค่อนข้างมาก จึงเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าได้แบบจำกัดจำนวน และที่น่าสนใจก็คือ ข้อมูลในอดีตบอกว่าที่นี่เคยมีเสือโคร่งอาศัยอยู่
            ผมเข้าป่าครั้งนี้ก็เพื่อถ่ายภาพเสือโคร่ง และหาจุดติดกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าตามเส้นทางที่เสือโคร่งเดินผ่าน ที่เลือกลุงแดงเป็นคนนำทางเพราะว่าแกเคยเจอเสือโคร่ง
            ลุงแดงเคยเจอเสือโคร่งครั้งเดียวในชีวิตตอนเป็นเด็ก ตอนนั้นแกยังเข้าป่ากับพ่อ ซึ่งเป็นพรานป่าผู้สอนวิชาให้แกนั่นเอง
            ครั้งนั้นเจอจังๆ ประจันหน้ากันเลย ระยะไม่เกิน 20 เมตร ป่าตอนนั้นรกและทึบมาก มองทางข้างหน้าแทบไม่เห็น ต้องค่อยๆ เดินไปพร้อมกับฟันเถาวัลย์ข้างหน้าไปด้วย
            จังหวะที่เจอเสือโคร่งนั้น ลุงแดงแกยังไม่เห็น แต่พ่อของแกเป็นคนชี้ให้ดู แกยังจำแววตาของเสือโคร่งตัวนั้นที่จ้องมาได้ดี แววตานั้นทำให้แกก้าวขาไม่ออกได้แต่ยืนนิ่งตัวเย็นเฉียบ
            พ่อของลุงแดงวางของทั้งหมดลงบนพื้น แล้วหยิบตะกรุดออกมาท่องคาถาก่อนจะวางตะกรุดลงข้างหน้า สักพักเสือโคร่งตัวนั้นก็เดินจากไป ในความทรงจำของลุงแดง แกบอกว่าเสือโคร่งตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากระทิง
            เย็นวันนั้นพ่อของลุงแดงเชือดไก่ในบ้านให้เจ้าป่าเจ้าเขา ขอบคุณที่ทำให้แคล้วคลาด แล้วก็ไม่เข้าป่าล่าสัตว์ 1 สัปดาห์ พร้อมกับงดเนื้อสัตว์ใหญ่ตลอดสัปดาห์นั้น
            หลังจากเหตุการณ์นั้นเกือบเดือน พ่อของลุงแดงก็เล่าเรื่องหนึ่งให้แกฟัง เป็นเรื่องสมัยเมื่อนานมาแล้ว สมัยที่คุณปู่ของลุงแดงยังอยู่และเป็นคนสอนพ่อของลุงแดงเข้าป่าล่าสัตว์
            วันนั้นทั้งปู่และพ่อของลุงแดงเข้าป่าเพื่อล่าสัตว์และหาของป่า แล้วก็ได้เจอเสือโคร่งตัวใหญ่
            แววตาของเสือโคร่งตัวนั้นเหมือนกับที่ลุงแดงได้เจอ มันไม่ใช่แววตาของสัตว์เดรัจฉาน มันเป็นแววตาของมนุษย์เหมือนกับเรา
            ปู่เล่าให้พ่อแกฟังว่า สมัยนั้นมีคนที่เล่นคาถาอาคมอยู่เยอะ มีบางคนที่ตบะยังไม่แก่กล้า แต่ไปเล่นอาคมที่ใหญ่เกินตัวทำให้ของย้อนเข้าตัว คนที่ทนไม่ได้ก็จะเสียสติไป ส่วนคนที่สะกดอาคมไว้ได้ทันก็จะต้องไปหาของมาข่มอาคม ต้องเป็นของที่แรงกว่าอาคม บางคนเลยไปเอาเนื้อเสือโคร่งสดๆ มากิน พอนานเข้าทั้งอาคมและของสะกดอาคมก็ผสานรวมกัน
            ในคืนวันเพ็ญที่อาคมแรงที่สุด คนๆ นั้นจะกลายร่างเป็นเสือโคร่ง แต่จิตใจยังเป็นมนุษย์อยู่ กลายเป็นคนในร่างของสัตว์เดรัจฉาน บางคนก็เรียกว่า "เสือสมิง"
            พวกนี้เราไปฆ่าไม่ได้และเราก็ไม่ควรไปยุ่งด้วย
            วันนั้นปู่ของลุงแดงทิ้งปืนลูกซองลงบนพื้น แล้วกำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ในมือ สวดมนต์จนเสือโคร่งตัวนั้นเดินจากไป หลังจากนั้นทั้งปู่และพ่อของลุงแดงก็หยุดเข้าป่าไปพักใหญ่ ไม่นานปู่ของลุงแดงก็ล้มป่วยและตายลง   
            พ่อแกบอกว่าดวงตาของเสือโคร่งที่ลุงแดงได้เจอ เหมือนกับที่พ่อกับปู่ได้เจอในวันนั้น การที่ได้เจอเสือสมิงถึง 2 ครั้งทำให้พ่อของแกเลิกล่าสัตว์ใหญ่ หันมาจับสัตว์เล็กและเก็บของป่าแทน ไม่นานพ่อของแกก็ล้มป่วยและตาย
           
            นั่นคือเรื่องราวเมื่อสามสิบกว่าปีก่อน
            เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นความทรงจำฝังใจลุงแดงมาจนถึงวันนี้

            ปัจจุบันเรื่องคาถาอาคมหรือเสือสมิงกลายเป็นเหมือนนิทาน ไม่มีใครเชื่อเรื่องแบบนี้อีกแล้ว ลุงแดงเองแกยังไม่แน่ใจเลยว่าแกเข้าใจผิดไปเองรึเปล่าเรื่องเสือสมิงตนนั้น คาถาอาคมอะไรแกก็ไม่เคยใช้ มีแต่ปืนลูกซองกระบอกนี้ที่แกรับช่วงมาจากพ่อของแกไว้ป้องกันตัว ซึ่งก็เคยใช้ยิงกระทิงมาไม่น้อย แต่ทุกวันนี้แกไม่ได้ยิงสัตว์ใหญ่แล้ว ที่ยังพกเข้าป่ามาก็เพื่อความสบายใจเท่านั้น ตอนนี้แกใช้แต่หนังสติ๊ก ความแม่นขนาดยิงกระรอกที่วิ่งอยู่บนยอดไม้ร่วงในนัดเดียว
            สิ่งต่างๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ในวันนี้หากมีการปะทะกันระหว่างคนกับเสือโคร่ง ฝ่ายที่ต้องหนีไปคงเป็นเสือโคร่งเพราะพวกมันถูกมนุษย์ล่าจนแทบจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ความลึกลับของผืนป่าในอดีตถูกมนุษย์เข้าไปสำรวจทุกซอกทุกมุมจนไม่หลงเหลือปริศนาอีกต่อไป กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวให้คนหนุ่มสาวและชาวต่างชาติมาใช้เวลาในช่วงวันหยุดกัน
            ดูอย่าง ไอ้แนว ลูกติดเมียของลุงแดงที่มาช่วยงานแกในวันนี้ มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคนไม่ได้ความ งานหนักไม่เอา งานเบาไม่สู้ ถ้าเป็นสมัยก่อนคงไม่รอดออกไปจากป่า แต่เดี๋ยวนี้ป่าเดินง่าย หนุ่มสาวหลายคู่มักเข้ามาพลอดรักกันในป่า
            ไอ้แนวมันยังไม่มีแฟน เลยมีเวลาว่างมาช่วยลุงแดง ช่วยเก็บของป่าเอาไปขายพอให้ได้เงินไปกินเหล้าแล้วก็เที่ยวผู้หญิง เงินหมดก็มาช่วยงาน สลับกันไปแบบนี้
            ตอนนี้ไอ้แนวที่ผมพูดถึงกำลังตัดกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาขวางทาง เพื่อสร้างทางเดินให้ลุงแดงและผมเดินได้สะดวก เราเดินเข้ามาในป่าลึกพอสมควรแล้ว เส้นทางนี้ลุงแดงบอกว่าเคยเจอซากกวาง ไม่แน่ใจว่าเป็นหมาในหรือเสือโคร่งที่ล่าทิ้งไว้ สัตว์นักล่าเหล่านี้จะหากินในอาณาเขตของมันและมักจะกลับมาในเส้นทางเดิมอีก ผมจึงเลือกติดกล้องดักถ่ายภาพสัตว์ป่าบริเวณนี้ ซึ่งถือเป็นการเก็บข้อมูลครั้งแรก คงต้องเข้ามาที่ป่าแถบนี้อีกหลายครั้งถ้าหวังจะให้ได้ภาพเสือโคร่งจริงๆ
            ณ จุดนี้เป็นครึ่งทางของการเดินเท้าของเรา ปลายทางที่ผมจะไปเป็นห้างนั่งเฝ้าสัตว์ที่ลุงแดงทำไว้ คืนนี้เราจะไปนอนกันบนนั้น เพราะผมอยากรู้จักสภาพป่าแถบนี้ในตอนกลางคืนจึงขอไปนอนค้างที่นั่น ซึ่งดูจากระยะทางแล้วเราน่าจะเดินไปถึงห้างนั่งเฝ้าสัตว์ก่อนค่ำ เพื่อความปลอดภัยของเราเอง

            นั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจไว้ ...แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นเช่นนั้น

            เมื่อจู่ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาในป่า และเสียงกรีดร้องนั้นกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาหาเรา เสียงกรีดร้องที่คลุ้มคลั่งและเสียสติราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์
            จนเมื่อเสียงกรีดร้องนั้นดังใกล้เข้ามา พวกเราจึงต้องระวังตัวกับอันตรายที่กำลังจะมาถึง
            ลุงแดงกระชับปืนลูกซองในมือแน่น ไอ้แนวยกมีดเดินป่าขึ้นมาพร้อมฟันทุกสิ่งข้างหน้า ส่วนผมได้แต่กำกล้องถ่ายรูปไว้อย่างหวาดๆ
            สิ้นเสียงกิ่งไม้ที่ไหวอยู่ข้างหน้า พลันเจ้าของเสียงกรีดร้องก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเรา
            หญิงสาวผิวขาว หน้าตาดี รูปร่างอวบแน่นสมวัยสาว แต่แววตาเหมือนคนเสียสติวิ่งตรงมาที่เรา ไอ้แนวรีบคว้าตัวหญิงสาวคนนั้นไว้ แต่หญิงสาวยังดิ้นรนสุดแรงและกรีดร้องไม่หยุด เตะถีบจนไอ้แนวตัดสินใจชกเข้าที่ท้องจนหญิงสาวสลบไป
            พอพิจารณาดูหญิงสาวที่ใส่เพียงเสื้อกล้ามรัดรูปและกางเกงขาสั้น กลับพบว่าร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลจากกรงเล็บสัตว์และมีเลือดเปื้อนอยู่ตามเสื้อผ้าหลายแห่ง
            ลุงแดงดูจากรอยกรงเล็บบนแขนของหญิงสาวแล้วคิดว่าอาจจะเป็นเสือโคร่งเพราะรอยใหญ่มาก โชคดีที่แผลไม่ลึกน่าจะโดดแค่ถากๆ แกเดาว่าหญิงสาวน่าจะเข้ามาพลอดรักกับแฟน แล้วไปเจอเสือโคร่ง อาจเป็นเสือโคร่งแม่ลูกอ่อนซึ่งมีลูกอยู่บริเวณนั้น มันจึงดุมากจนไล่กัดทั้งหญิงสาวและแฟน ต่างคนคงวิ่งหนีกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง และน่าจะวิ่งมาไกลพอสมควรตามเนื้อตัวจึงมีแผลเล็กๆ จากกิ่งไม้ครูดเต็มไปหมด
            ดูตามเส้นทางที่หญิงสาววิ่งมาเป็นทางเดียวกับห้างส่องสัตว์ที่เรากำลังเดินไป มันคงไม่ปลอดภัยถ้าเรายังเดินทางต่อ ดังนั้นเราจึงต้องหยุดเพียงแค่นี้ แต่ถ้าจะเดินกลับไปยังทางที่เรามาพร้อมกับแบกหญิงสาวไปเพิ่มอีกคน เราคงไปไม่พ้นป่าก่อนค่ำ ซึ่งมันจะยิ่งอันตรายมากขึ้น และตอนนี้แสงสุดท้ายของวันก็กำลังจะหมดไป
            ลุงแดงจึงตัดสินใจจัดแจงพื้นที่ตรงนี้ให้สามารถพักนอนได้หนึ่งคืน แล้วก่อกองไฟเพื่อให้ความสว่างและช่วยขับไล่สัตว์ป่าไปในตัว เราตกลงกันว่าลุงแดงกับไอ้แนวจะผลัดกันอยู่ยาม เพราะผมคงช่วยอะไรไม่ได้มากนัก โดยให้ไอ้แนวอยู่ยามกะแรก พอเที่ยงคืนลุงแดงจะมาเปลี่ยน           
             สถานการณ์ตอนนี้สร้างความกดดันให้กับพวกเราไม่น้อย เพราะต้องรับมือกับอันตรายที่ยังมองไม่เห็น ทำได้แค่คอยระวังตัว แต่ไอ้แนวอาจไม่รู้สึกอย่างนั้นเพราะมันมัวแต่นั่งมองหญิงสาวที่ยังไม่ได้สติ นอกจากนั้นมันยังช่วยเช็ดคราบเลือดและรอยเปื้อนบนตัวหญิงสาวให้อีกด้วย ส่วนลุงแดงก็มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด คอยตรวจสอบความพร้อมของการใช้งานปืนลูกซองอยู่ตลอด ผมเองก็วิตกอยู่เหมือนกันเลยออกไปเดินหาจุดถ่ายรูปเป็นการคลายเครียด
            อันที่จริงบรรยากาศตอนนี้ถือว่าโรแมนติกทีเดียว ดวงอาทิตย์ลับของฟ้า ป่าถูกความมืดเข้าปกคลุม เหลือเพียงแสงสว่างจากกองไฟและดวงดาวบนท้องฟ้าที่ส่องประกายระยิบระยับ เป็นบรรยากาศสำหรับคู่รักได้เลย ถ้าไม่ต้องมาคอยระวังสัตว์ป่าอย่าง เสือโคร่ง
            แม้ผมจะตั้งใจเข้ามาถ่ายภาพเสือโคร่งแต่ก็ไม่อยากเจอมันในสภาพนี้ อยากจะเจอห่างๆ อย่างปลอดภัยมากว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ผมควรจะหลับพักผ่อนให้ร่างกายได้ฟื้นตัว เตรียมพร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

            ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะได้ยินเสียงเหมือนคนทะเลาะกัน พอมองไปที่อีกฝั่งของกองไฟ ก็เห็นเหมือนไอ้แนวกับลุงแดงเถียงอะไรกันสักอย่าง ใกล้ๆ ไอ้แนวหญิงสาวยังนอนอยู่ แต่เสื้อกล้ามถูกถลกขึ้นมาจนเห็นปทุมถันเต่งตึง ส่วนกางเกงถูกรูดลงมาถึงเข่า
            ผมจับใจความได้ว่า ไอ้แนวกำลังจะข่มขืนหญิงสาว แต่ลุงแดงตื่นขึ้นมาพอดีเลยห้ามไว้ ไอ้แนวไม่ยอมให้ลุงแดงเข้ามายุ่ง
            ขณะที่ทั้ง 2 คนเถียงกันอยู่นั้น หญิงสาวก็ได้สติขึ้นมา สิ่งแรกที่เธอทำคือกรีดร้องและพยายามหลบหนี ไอ้แนวรีบคว้าตัวหญิงสาวแล้วกดลงกับพื้น แต่หญิงสาวยังคงดิ้นรนและกรีดร้อง ไอ้แนวขึ้นคร่อมเอามือปิดปากหญิงสาวที่กำลังดิ้นรนผลักมันออกไป ลุงแดงเข้ามาช่วยจับแขนหญิงสาว แต่หญิงสาวในสภาพเกือบเปลือยกายซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่นี้ กลับกระตุ้นสัญชาตญาณดิบของทั้งคู่ ไอ้แนวปลดกางเกงลงเผยให้เห็นอวัยวะเพศที่แข็งตัวเต็มที่พร้อมใช้งาน ส่วนลุงแดงที่กดแขนหญิงสาวไว้กับพื้นจนแน่นก็จ้องไปที่หน้าอกอวบอิ่มคู่นั้นอย่างไม่วางตา ไอ้แนวดึงกางเกงในของหญิงสาวลงมาที่เข่าและกดตัวเองทับร่างของหญิงสาว หวังจะเสพสุขจากเรือนกายนี้
            แต่สิ่งที่ผมเห็นต่อจากนั้นกลับเป็นความตายอันน่าสะพรึงของไอ้แนวและลุงแดง
            ผมกดชัตเตอร์กล้องในมือไม่ยั้งเพื่อบันทึกภาพที่ปรากฏตรงหน้า ภาพของเสือโคร่งขนาดมหึมากัดหัวของไอ้แนวขาดสะบั้นในทีเดียว ภาพลุงแดงถูกกรงเล็บของเสือโคร่งตะปบจนลำตัวขาดออกจากกัน นี่สินะเสือสมิงที่ลุงแดงพูดถึง เสือโคร่งที่กลายร่างมาจากหญิงสาวคนนั้น "คนในร่างของสัตว์เดรัจฉาน"
            ส่วนพวกเราคงเป็น "สัตว์เดรัจฉานในร่างของคน" ที่มีจิตใจอันต่ำทรามในร่างกายของมนุษย์ คอยเข่นฆ่าทำลายและทำร้ายกัน เมื่อผมเองก็อยากทำกับหญิงสาวเหมือนที่ไอ้แนวทำ แต่ไม่มีความกล้าจึงทำได้เพียงแค่ถ่ายรูป ซึ่งนี่คงเป็นรูปสุดท้ายที่ผมจะถ่ายได้ เพราะมือที่จับกล้องได้ขาดออกจากแขนของผม ส่วนขาขาดกระเด็นไปอีกด้าน เหลือแต่หัวที่กำลังจะหลุดออกเมื่อกรงเล็บของเสือสมิงลากผ่าน

            เคยมีคนบอกผมว่าสถานการณ์จะเป็นตัวเผยธาตุแท้ของคน
            ความมืดของป่าและหญิงสาวคนนั้น ได้เปิดเปลือยจิตใจของพวกเราทั้ง 3 คน ปล่อยให้ธาตุแท้ข้างในได้แสดงตัวออกมา พร้อมกับจบลงภายใต้ผืนป่าและกรงเล็บ
            ก่อนที่ลมหายใจสุดท้ายจะจากผมไป ผมได้เห็นภาพของเสือโคร่งตัวใหญ่กลับคืนเป็นหญิงสาวคนนั้น แต่แววตาของเธอที่เหลียวมองมายังคงเป็นแววตาของสัตว์ป่า
            "คนในร่างสัตว์ฯ" อาจน่ากลัว แต่ "สัตว์ฯ ในร่างคน" นั้นน่ากลัวยิ่งกว่า

            ผมหวังว่าจะมีคนนำไฟล์ภาพในกล้องที่ผมถ่ายไปเปิดดู เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมหลงเหลือไว้ให้ในฐานะมนุษย์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น