22-26.01.2015
<< กลับไปอ่าน Part 1...วันเสาร์ที่ 24 มกราคม 2558
ตื่นเช้ามาแบบเพลียๆ เพราะติดกับที่พักเป็น Pub มีวงดนตรีแสดงสด ร้องเพลงกันทั้งคืน เริ่มจากเพลงฝรั่ง พอตอนท้ายๆ กลายเป็นเพลงไทย นอนฟังไปก็ภูมิใจนิดๆ ที่เค้าร้องเพลงไทย ...จริงๆ เท่าที่เดินเที่ยว 1 วัน ก็เห็นเค้าดูทีวีไทยเรานี่แหละ ช่อง3 ช่อง7 ประมาณนั้น ...วัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ภาษาก็ใกล้เคียงกัน มาเที่ยวที่เวียงจันทน์ก็เลยคล้ายๆ อยู่บ้านเรา แต่ของแพงกว่า (ฮา)
ค่าเข้าห้องน้ำครั้งละ 10 บาท น้ำขวดลิตรครึ่ง 20 บาท ข้าวจานละ 60 บาท คงเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยว ค่าครองชีพเลยสูง (สูงกว่าเชียงใหม่อีกนะครับ)
เช้านี้ก็ลุกประมาณ 7 โมงเหมือนเดิม อาบน้ำ เก็บของเสร็จ ก็เดินเท้าไปที่สถานีขนส่ง เพราะวันนี้เรารู้แล้วว่าระยะทางไม่ไกลเดินได้สบาย จะได้ซึมซับบรรยากาศของเวียงจันทน์ตอนเช้าด้วย
วัดตรงข้ามที่พัก |
ร้านเหล้าเยอะเลย |
"สวนน้ำพุ" เป็นแหล่งร้านอาหารและร้านเหล้าตอนกลางคืน |
สถานทูตบรูไน |
ผ่านหน้า "ทำเนียบประธานประเทศ" อีกรอบ |
เดินชมเมืองเวียงจันทน์ไปเรื่อยๆ ไม่นานก็มาถึง "ตลาดเช้า" ฝั่งตรงข้ามกับสถานีขนส่ง ...เท่าที่ใช้เวลาในเวียงจันทน์ 1 วัน 1 คืน คิดว่าเวียงจันทน์ในวันนี้คงแตกต่างจากเมื่อก่อนเยอะ เพราะเท่าที่ผมเห็นมีแต่ร้านค้า ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเหล้า ไว้รอบรับนักท่องเที่ยว เบียดตัวกันอยู่กับวัด คือวัดกับร้านเหล้าติดกันเลย (คล้ายๆ เชียงใหม่ในคูเมือง) ไม่ได้เห็นวิถีชีวิตแบบคนท้องถิ่นเลย...
ซื้อขนมครกลาวกินเป็นอาหารเช้า |
มาขึ้นรถเที่ยว 9.00 น. คราวนี้เป็นรถจากฝั่งลาว |
ภายในเก่าหน่อย เหม็นนิด ยุงชุม ^^ |
เสียดายไม่ได้เข้าไปเที่ยวใน Duty Free เดี๋ยวรถไม่รอ |
ถึงฝั่งไทยแล้ว |
นั่งรถทัวร์กลับมาจากเวียงจันทน์ครั้งนี้ ได้คุยกับหนุ่มลาวที่เข้ามาทำงานใน จ.อุดรธานี (รถเป็นเที่ยวเวียงจันทน์-อุดรธานี วิ่งยาว) เลยได้รู้ความจริงว่ารถฮุนไดที่ลาว ราคา 2-3 แสนบาทเท่านั้นเอง (ซื้อขายเป็นเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ) แต่รถโตโยต้าแพงกว่าเมืองไทยเพราะต้องเอาของบ้านเราไป มอเตอร์ไซค์ก็แพงกว่าเกือบเท่าตัว...ที่เห็นใช้รถฮุนไดเยอะเพราะราคาถูกนี่เอง
หนุ่มลาวบอกว่าเมื่อก่อนเวียงจันทน์ไม่ได้เป็นแบบนี้ (เห็นมั้ยละ) เพิ่งประมาณ 7 ปีมานี้เอง ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบนี้ เมื่อก่อนยังมีวิถีชีวิตชุมชนมากกว่านี้ เค้าบอกว่าตอนนี้ถ้าอยากได้บรรยากาศแบบนั้นต้องไปเที่ยว "วังเวียง" เดินทางจากเวียงจันทน์ไปอีกประมาณ 100 กิโลเมตร หรือไป "หลวงพระบาง" เดินทางจากวังเวียงไปอีกประมาณ 100 กิโลเมตร (ถ้าจากเวียงจันทน์ก็ประมาณ 200 กิโลเมตร) ก็คงต้องไว้โอกาสหน้าแล้วละครับ
มาเที่ยว "เวียงจันทน์" ครั้งนี้ก็ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ อาจไม่ตรงกับที่คาดหวัง แต่ถ้าเราไม่ได้มาเอง ก็คงไม่ได้รับรู้อย่างนี้ (ของอย่างนี้มันต้องไปเอง รู้เองครับ ฟังเค้าเล่าก็เท่านั้น)
กลับมาถึง จ.อุดรธานี คืนนี้เราจะนอนที่นี่กันอีก 1 คืน ให้พ่อได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ อีกมื้อ ระหว่างที่รอมื้อเย็น เราก็ไปเที่ยวร้านค้าของอุดรธานีที่น่าสนใจ
กลับมาถึง จ.อุดรธานี คืนนี้เราจะนอนที่นี่กันอีก 1 คืน ให้พ่อได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ อีกมื้อ ระหว่างที่รอมื้อเย็น เราก็ไปเที่ยวร้านค้าของอุดรธานีที่น่าสนใจ
เซ็นทรัลนี่มีเกือบทุกจังหวัดแล้วมั้ง แต่เราไม่ได้เข้าไปนะ เราไปนอกเมืองแทน |
"168 Platinum อุดรธานี"... ด้านหน้ามีให้ถ่ายรูป 3 มิติฟรีครับ^^ |
กว้างมาก ส่วนใหญ่ขายเสื้อผ้า เปิดมาได้ 1 ปี ตอนนี้เริ่มเงียบๆ เหงาๆ แล้ว คงเพราะอยู่ไกลเมืองไปหน่อย |
ถัดมาติดๆ กันเป็น "สำเพ็งอุดร" ของใช้ต่างๆ ราคาถูก ถ้าซื้อยกโหล |
ถัดไปอีกจะเป็น "ตั้งงี่สุนซูเปอร์สโตร์" สาขา 2 ห้างสรรพสินค้าท้องถิ่น ขายส่ง ราคาถูก หลายๆ อย่างถูกว่าแมคโคร...เสร็จจากจุดนี้เราก็วิ่งอ้อมรอบเมืองไปที่ "โบ๊เบ๊ อุดร" เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ผลิตเอง (หมายถึงหลายๆ เจ้ามีโรงงานเอง หรือสั่งโรงงานผลิตตามแบบของตัวเอง) ราคาไม่แพง ซื้อ 3 ชิ้นราคาส่ง ถ้าซื้อ 6 ชิ้นราคาส่งกว่า และถ้าซื้อ 12 ชิ้นราคาส่งที่สุด
มาถึงตอนเย็นเกือบปิดแล้ว |
จบการเดินทางเที่ยวชมห้างค้าปลีกและค้าส่งบนถนนรอบเมืองอุดรธานี โดยรวมถือว่าน่าประทับใจเลยครับ ราคาและคุณภาพสินค้าไม่ต่างกับที่กรุงเทพฯ สักเท่าไร..จากนี้เราก็กลับเข้าไปในตัวเมืองอุดรฯ ให้พ่อไปสังสรรค์กับเพื่อนๆ ส่วนผมก็กลับไปนอนเอาแรง...ครอก!
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม 2558
เช้านี้ที่อุดรธานี สิ่งแรกที่เรานึกถึงก็คือ ไข่กระทะ ที่ "สวนสาธารณะหนอกประจักษ์" สวนสาธารณะขนาดใหญ่ สภาพแวดล้อมสวยงาม และมีร้านไข่กระทะอร่อยๆ ให้เลือกมากมายเราเลือกร้านที่คนเยอะ (จริงๆ ก็เยอะทุกร้านแหละ) เข้าไปกินก็ไม่ผิดหวัง อร่อยทั้งไข่กระทะ และขนมปัง
สวนสาธารณะหนองประจักษ์ |
กินอาหารเช้าเสร็จ หลังจากนี้ก็เป็นการเดินทางกลับลำปางแล้ว อยู่ที่ว่าเราจะเลือกไปแวะที่ไหนบ้าง นี่เป็นข้อดีของการขับรถเดินทางเอง และไม่ถูกจำกัดเรื่องเวลา (แต่ถูกจำกัดเรื่องเงิน..ฮา) โดยส่วนตัวแล้วผมมีความค้างคาใจกับ "ไก่ย่างวิเชียรบุรี" มาก หลายปีมานี้ผมเห็นป้าย ไก่ย่างวิเชียรบุรี ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด (ผมก็ไม่เคยเห็นดอกเห็ดผุดขึ้นหรอกนะ จำเค้ามาทั้งนั้นแหละ)
หลายเจ้าที่กินก็อร่อย บางเจ้าก็ไม่อร่อย แต่ไม่มีเจ้าไหนรสชาติเหมือนกันเลย ...นี่มันสูตรของตัวเองชัดๆ เลยนี่! แล้วจะขึ้นป้ายไก่ย่างวิเชียรบุรีทำไม! ป้ายสีแดงตัดเหลืองเหมือนกันด้วยนะ
แสดงว่าไก่ย่างวิเชียรบุรีของแท้มันต้องมีอะไรที่มากกว่านั้น...
นั่นแหละครับแรงผลักดันให้ผมต้องไปกินไก่ย่างที่ อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ ให้ได้ ที่สำคัญต้องเป็นเจ้าต้นตำรับด้วยนะ ไม่ใช่เจ้าไก่กาเพิ่งมาเปิดปีสองปีอย่างนี้ไม่ได้
แต่ก่อนจะไปถึงวิเชียรบุรีนั้นยังอีกไกล เราคงต้องไปแวะกินอาหารกลางวันที่ไหนกันก่อน ดูจากเวลาและระยะทาง เราก็สรุปกันได้ว่าไปกินข้าวกลางวันที่ จ.ขอนแก่น และก่อนหน้านั้นเราจะแวะ "ทะเลบัวแดง" กันเสียก่อน ไหนๆ ก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว แวะเข้าไปอีกนิดเดียว
จาก จ.อุดรธานี ไป จ.ขอนแก่น จะผ่าน อ.กุมภวาปี นี่แหละครับที่อยู่ของทะเลบัวแดง มีป้ายบอกทางตลอดไม่หลงครับ อาจมีผ่านทุ่งนา ถนนแคบบ้าง ก็ขอให้ใจเย็นๆ กันนะครับ ขับเลี้ยวไปเลี้ยวมาสักพัก ก็จะมาถึงลานจอดรถขนาดใหญ่มีคนเก็บค่าจอดรถ นั่นแหละครับ จุดชมทะเลบัวแดง
บึงหนองหานกุมภวาปี กว้างไกลสุดสายตา |
จอดรถเสร็จก็เดินไปเต็นท์จัดคิวเรือ มีราคา 300 บาทและ 500 บาท ลงได้ลำละไม่เกิน 10 คน ราคาต่างกันตามระยะทางครับ ส่วนอีกแบบคือเรือหางยาวคนละ 150 บาท นั่งได้ 2 คน
พอไปถึงเต็นท์ก็เห็นคนนั่งรอเยอะมาก ที่ยืนรอก็เยอะ ผมยืนฟังเค้าประกาศอยู่สักพักก็ได้ความว่า วันนี้คณะทัวร์ผิดนัด นัดว่าจะมาลงเรือตอน 9.00 น. แต่มาจริงๆ ตอน 11.00 น. คิวที่เค้าจัดไว้ให้เลยต้องเลื่อนไป เลยทำให้นักท่องเที่ยวที่มาใหม่รอกันอีกนานเลย ครอบครัวผมนั้นอยากนั่งเรือไปชมดอกบัวแดงให้สมกับที่เดินทางมาไกล แต่ดูจากเวลาที่ต้องรออีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง ไก่ย่างวิเชียรบุรีที่ผมรอคอยก็อาจจะไปไม่ทัน สุดท้ายเราเลยตัดใจไม่รอคิวลงเรือแล้ว เดินดูรอบๆ อีกนิดหน่อยก็ต้องจากมาอย่างน่าเสียดาย ไม่รู้ปีไหนจะได้มาอีก
เรื่องคิวลงเรือนี้ คนประกาศเค้าบอกว่าปกติรอไม่นานก็ได้ลงเรือแล้ว ยิ่งวันธรรมดานี่ยิ่งแทบไม่ต้องรอ ...ถือว่าเป็นความโชคร้ายของผมเองที่มาวันนี้พอดี
ออกจากทะเลบัวแดง เราก็มุ่งหน้าสู่ จ.ขอนแก่น ไปหาที่กินข้าวกลางวัน ...เราแวะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองขอนแก่นกันก่อน ถนนวางผังไว้ดี ขับไม่หลง ...ในการเดินทางครั้งนี้ (ทุกครั้งแหละ) ผมจะดูแผนที่ประกอบ (แผนที่กระดาษนะครับ ถนัดแบบนี้) โดยเฉพาะที่ที่ไม่เคยไป ช่วยให้เราไม่ต้องหลงทางได้ครับ
เสร็จแล้วก็ขับรถไป "บึงแก่นนคร" เพื่อไปหาข้าวกินแถวๆ นั้น
ระหว่างขับรถวนรอบบึงแก่นนคร สายตาก็สอดส่องหาร้านอาหารไปด้วย จนมาเจอร้านที่น่าสนใจ...
มื้อนี้เลยอร่อยกว่าที่คาด ปลาช่อนหมักในกระบอกไม้ไผ่ เข้มข้นด้วยรสชาติเครื่องเทศ จัดจ้านกำลังพอดี กินพร้อมกับเส้นขนมจีนอร่อยลงตัวมากๆ ซดคู่กับ ต้มแซ่บเอ็นแก้ว นุ่มลื่นละมุนลิ้น มีเท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆ (หมายถึงเงินในกระเป๋าเรานะครับ) ...ในรูปจะเห็นว่าที่ร้านนี้มีไก่ย่างด้วย แต่ผมไม่กินครับ ผมเก็บลิ้นไว้สำหรับไก่ย่างที่วิเชียรบุรีเท่านั้น นาทีนี้ไก่ที่อื่นไม่ได้สัมผัสลิ้นผมหรอก..หึ หึ
อยู่บนฝั่งมองเห็นดอกบัวแดงเป็นจุดๆ ราวกับไรฝุ่น |
จุดๆ ที่เห็นนั่นคือดอกบัวแดงนะครับ เรือพาไปไกลๆ นู้น คงจะสวยทีเดียว |
ลักษณะเรือเป็นเช่นนี้ ถามคนที่นั่งเรือไปชมดอกบัวมา เค้าบอกว่าสวยมากเลย |
ออกจากทะเลบัวแดง เราก็มุ่งหน้าสู่ จ.ขอนแก่น ไปหาที่กินข้าวกลางวัน ...เราแวะเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองขอนแก่นกันก่อน ถนนวางผังไว้ดี ขับไม่หลง ...ในการเดินทางครั้งนี้ (ทุกครั้งแหละ) ผมจะดูแผนที่ประกอบ (แผนที่กระดาษนะครับ ถนัดแบบนี้) โดยเฉพาะที่ที่ไม่เคยไป ช่วยให้เราไม่ต้องหลงทางได้ครับ
มาจอดรถเดินเล่นที่นี่ ฝั่งตรงข้ามเป็นสวนสาธารณะรัชดานุสรณ์ |
เสร็จแล้วก็ขับรถไป "บึงแก่นนคร" เพื่อไปหาข้าวกินแถวๆ นั้น
บึงแก่นนคร มีสวนสาธารณะอยู่รอบๆ มีจักรยานให้เช่าปั่น |
ระหว่างขับรถวนรอบบึงแก่นนคร สายตาก็สอดส่องหาร้านอาหารไปด้วย จนมาเจอร้านที่น่าสนใจ...
เค้ามีปลากระบอกด้วยครับ ปลาอยู่ในกระบอกแล้วเอาไปย่าง ^_^ |
ข้างในกระบอกไม้ไผ่เป็น ปลาช่อน นี่เอง |
ต้มแซ่บเอ็นแก้ว นุ่ม ลื่น อร่อย หากินยากเหมือนกัน |
มื้อนี้เลยอร่อยกว่าที่คาด ปลาช่อนหมักในกระบอกไม้ไผ่ เข้มข้นด้วยรสชาติเครื่องเทศ จัดจ้านกำลังพอดี กินพร้อมกับเส้นขนมจีนอร่อยลงตัวมากๆ ซดคู่กับ ต้มแซ่บเอ็นแก้ว นุ่มลื่นละมุนลิ้น มีเท่าไหร่ก็ไม่พอจริงๆ (หมายถึงเงินในกระเป๋าเรานะครับ) ...ในรูปจะเห็นว่าที่ร้านนี้มีไก่ย่างด้วย แต่ผมไม่กินครับ ผมเก็บลิ้นไว้สำหรับไก่ย่างที่วิเชียรบุรีเท่านั้น นาทีนี้ไก่ที่อื่นไม่ได้สัมผัสลิ้นผมหรอก..หึ หึ
อิ่มอร่อยพร้อม นอน เอ๊ย! เดินทาง กันต่อสิเรา จากนี้ก็วิ่งยาวกันเลยครับ มุ่งหน้าสู่ อ.วิเชียรบุรี
ออกจาก จ.ขอนแก่น มาทาง อ.บ้านฝาง-อ.หนองเรือ-อ.ชุมแพ-อ.ภูผาม่าน-อ.น้ำหนาว (เป็นทางขึ้นเขา ต้องระมัดระวังหน่อยนะครับ)-อ.หล่มสัก-จ.เพชรบูรณ์
เซ็นทรัลขอนแก่น |
ออกจาก จ.ขอนแก่น มาทาง อ.บ้านฝาง-อ.หนองเรือ-อ.ชุมแพ-อ.ภูผาม่าน-อ.น้ำหนาว (เป็นทางขึ้นเขา ต้องระมัดระวังหน่อยนะครับ)-อ.หล่มสัก-จ.เพชรบูรณ์
จริงๆ เส้นทางจากนี้เราก็ไม่เคยไปกันนะครับ ปกติจะผ่าน อ.หล่มสัก ไป จ.พิษณุโลก ไม่ค่อยได้ลงมาทาง จ.เพชรบูรณ์ ยิ่งไป อ.วิเชียรบุรี นี่ยิ่งไม่เคยเลยครับ ...ถ้าไม่ใช่เพราะ "ไก่" เราคงไม่ได้มาที่นี่
ขับรถไป ก็ดูเวลาไป ลุ้นไปว่าเราจะไปถึงทันเวลากินข้าวเย็นมั้ย หิวแล้วด้วย แล้วจะหาที่พักนอนได้รึเปล่า เพราะจะค่ำแล้วคงต้องหาที่นอนแถวๆ นั้น แล้วร้านไก่ย่างวิเชียรบุรีต้นตำรับ เราจะหาเจอรึเปล่า เรียกว่าไม่รู้อะไรเลยครับ ขับไปดูแผนที่ไป มองหาโรงแรมที่พักไปด้วย จนในที่สุด... ก่อนจะถึงทางแยกเข้า อ.วิเชียรบุรี เราก็เห็นสองข้างทางเต็มไปด้วยร้านไก่ย่าง แต่ไม่มีร้านไหนใช้ชื่อ "ไก่ย่างวิเชียรบุรี" เลย จะเป็นชื่อร้านเฉพาะของตัวเองแทบทั้งนั้น
จุดสำคัญมันอยู่ตรงนี้ครับ คือเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน พ่อผมเคยมาอบรบที่ อ.เขาค้อ แล้วผ่าน อ.วิเชียรบุรี คนในพื้นที่ (ที่นั่งรถมาด้วยกัน) เลยแนะนำว่า ไก่ย่างเจ้าต้นตำรับคือ "ไก่ย่างตาแป๊ะ" ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ ขายอยู่ในตัวอำเภอวิเชียรบุรี
นั่นเป็นข้อมูลเดียวของเราครับ ว่าเราจะมากินไก่ย่างร้านไหน
สิ่งที่เราต้องทำคือ มองหาร้านตาแป๊ะให้เจอ แล้วเราก็มาเจอร้านนี้...
ไก่ย่างตาแป๊ะ 2 ร้านใหญ่มาก |
เรามาถึงเกือบ 2 ทุ่มแล้ว คนยังเต็มอยู่เลย แล้วยังมีทยอยมาเพิ่มอีกนะ |
แม่ค้าเลยต้องไปเอาไก่มาย่างเพิ่มอีกชุดใหญ่ |
ย่างไก่ชุดหนึ่งใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างรอเราก็สั่งต้มแซ่บกระดูกอ่อนมากิน อร่อยดี ...แต่ในใจผมนั้นเฝ้าถวิลหาแต่ไก่ สิ่งอื่นใดจึงไม่อาจมาเบี่ยงเบนความสนใจผมได้...สรุปคือรอไก่สุกนั่นเอง
ที่หน้าร้านเค้าจะมี "รูปปั้นตาแป๊ะ" ใส่หมวกสีน้ำตาล ใส่เสื้อสีฟ้า นั่งอยู่ (ลองหาดูในรูปนะครับ ฝึกสายตา) ในร้านผมก็เห็นผู้ชายคนนึงแต่งตัวใส่หมวกแบบนั้น จึงได้ถามไถ่พูดคุย จนรู้ว่าคุณอาท่านนั้นคือ ลูกชายของตาแป๊ะนั่นเอง เป็นรุ่นที่ 2 ที่สืบทอดไก่ย่างนี้
แกบอกว่าร้านนี้เพิ่งขยายมาไม่กี่ปี (แต่แกขายไก่ย่างที่นี่มา 40 ปีแล้ว) เพื่อรองรับลูกค้า เพราะบางทีลูกค้ามาเป็นคณะทัวร์หลายสิบคน เดี๋ยวจะนั่งไม่พอ ตอนนี้แกบอกว่ามาเป็นร้อยก็มีที่นั่งเพียงพอ (ที่ไม่เห็นในรูปยังมีที่นั่งอีก 2 โซนนะครับ โซนห้องแอร์ กับศาลาอีกหลังนึง) ปกติประมาณ 1 ทุ่มก็จะเริ่มทยอยเก็บร้านแล้ว แต่วันนี้ลูกค้ามาดึก และมามาก แกเลยไม่ได้เตรียมไก่ไว้ ลูกค้าจึงต้องรอนานหน่อย ...ผมนี่รีบโม้เลยว่าเดินทางมาจากลำปาง ตั้งใจมากินไก่ย่างวิเชียรบุรีเจ้าต้นตำรับ วันนี้นั้นแสนดีใจที่จะได้กิน คุณอารุ่น 2 แกก็คุยดีมากครับ ไม่ค่อยโม้ บอกว่าต้องลองชิมดูว่ารสชาติจะอร่อยจริงรึเปล่า
ด้วยความเป็นห่วงว่าเราจะหิว (รอประมาณ 30 นาทีแล้ว) แกเลยรีบเอาไก่ย่างมาให้โต๊ะเราเร็วหน่อย แต่ปรากฏว่า ไก่ไม่สุก -_-"
น้ำตาจะไหล เดินทางมาตั้งไกล หิวด้วย ไก่มาอยู่ข้างหน้าแล้ว แต่ย่างไม่สุก ...แต่ส่วนที่สุกนี่หนังอร่อยมาก...เลยบอกให้เค้าเอาไปย่างใหม่อีกรอบ มาคราวนี้ถึงสุก แต่รสชาติก็ไม่ได้แล้ว...เฮ้อ
คุณอารุ่น 2 ผู้มีอัธายาศัยดีเยี่ยม ได้แนะนำโรงแรมให้เรา บอกว่าเลี้ยวเข้าไปทาง อ.วิเชียรบุรี อีกไม่ไกล ก็จะมีโรงแรมให้พัก สะอาด ปลอดภัย ราคาไม่แพง
ไก่ย่างตัวใหญ่ แต่สุกไม่ทั่ว รสชาติเลยยังไม่ใช่ |
คุณอารุ่น 2 ผู้มีอัธายาศัยดีเยี่ยม ได้แนะนำโรงแรมให้เรา บอกว่าเลี้ยวเข้าไปทาง อ.วิเชียรบุรี อีกไม่ไกล ก็จะมีโรงแรมให้พัก สะอาด ปลอดภัย ราคาไม่แพง
ผมนี่กินไก่ไป ก็คิดไป เลยตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าก่อนเดินทางกลับลำปาง จะแวะมากินไก่อีกครั้ง เพราะคุณอารุ่น 2 บอกว่า ตอนเช้าเปิดตั้งแต่ 6 โมง เตรียมไก่ตั้งแต่ตี 4 ...ม่ะ ขอชิมรสชาติที่ถูกต้องของไก่ย่างตาแป๊ะหน่อยเถอะ ไม่อยากให้ลิ้นจดจำรสชาติที่ผิดๆ ไป ภายหน้าจะได้ไปบอกคนอื่นได้ถูกต้องว่าไก่ย่างวิเชียรบุรีเจ้าต้นตำรับรสชาติเป็นอย่างไร
ครับ เป็นอันว่าคืนนี้เราเข้าไปนอนในโรงแรมที่คุณอารุ่น 2 แนะนำ และเป็นคืนแรกในการเดินทางครั้งนี้ที่ผมได้นอนหลับสนิท อาจเป็นเพราะความเหนื่อยล้าสะสมด้วย แต่สิ่งสำคัญคือ ที่นอนแข็ง ...ผมชอบนอนที่นอนแข็งๆ ครับ นอนที่นอนนุ่มๆ แล้วปวดหลัง
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม 2558
ตื่นเช้ามาสัมผัสอากาศเย็นสบาย เหมือนเดิมครับ เราตื่นประมาณ 7 โมง ลองขับรถเข้าไปดูใน อ.วิเชียรบุรี ก็หาร้านตาแป๊ะสาขา 1 ไม่เจอ สักพักก็เลยวนรถออกมาร้านไก่ย่างตาแป๊ะ 2
มาถึงที่ร้านเกือบๆ 8 โมง ยังไม่มีลูกค้า โต๊ะยังจัดไม่เสร็จ แต่ไก่ย่างไว้แล้วบางส่วน...วันนี้แหละที่ผมจะให้ลิ้นได้จดจำรสชาติไก่ย่างตาแป๊ะต้นตำรับวิเชียรบุรีให้ถูกต้อง
ไม่นานไก่ย่างก็มาถึง และรสชาติก็อร่อยจริงๆ เนื้อไก่ที่สุกนุ่มหอมกำลังดี หนังไก่กรอบนิดๆ รสชาติเข้มข้น ยิ่งเมื่อได้ผสานรวมกับน้ำจิ้มสูตรเฉพาะของทางร้าน ความอร่อยยิ่งพุ่งถึงขีดสุด
นั่นแหละครับ เป็นอันจบความมุ่งหวังของการเดินทางครั้งนี้ ไก่ย่างวิเชียรบุรีเจ้าต้นตำรับ ได้ถูกบันทึกลงในความทรงจำของผมแล้ว เป็นการจดจำด้วยร่างกายในทุกๆ อณูสัมผัส (มันจะเวอร์ไปไหน)
ตอนขับรถกลับผมก็ลองคิดๆ ดู ร้านไก่ย่างบริเวณนั้น มีร้านใหญ่ๆ หลายร้าน ลูกค้าก็เยอะเกือบทุกร้าน ว่ากันตามจริงถึงตอนนี้รสชาติก็คงไม่แตกต่างกันมากแล้ว เพราะนี่ก็ไม่ใช่รสชาติไก่ย่างที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยกิน แต่เป็นรสชาติไก่ย่างที่อร่อยอย่างไม่ผิดหวัง และน่าประทับใจ
เพราะรสชาติคงถูกปรับเปลี่ยนพัฒนาต่อยอดออกไปตามรสนิยมของพ่อครัว แม่ครัวผู้ปรุง ให้เหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น และขึ้นกับประสบการณ์ของผู้กินอีกที ถ้ามันถูกกรรม ถูกวาระ ก็จะเป็นความทรงจำที่ดีและยึดถือความทรงจำนั้นเป็นแม่แบบในการเทียบเคียงรสชาติใหม่ๆ ที่จะได้ลิ้มลองต่อไป จะว่าไปแล้วเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่คนที่รังสรรค์อาหารให้คนหมู่มากมีประสบการณ์ความอร่อยร่วมกันได้นี่ สุดยอดจริงๆ
ขับรถกลับลำปางเที่ยวนี้ได้แวะซื้อ "กลอยทอด" ที่ อ.เด่นชัย ก่อนเลี้ยวเข้าลำปาง
ถุงละ 20 บาท อร่อยมาก ซื้อมา 3 ถุงหมดอย่างรวดเร็ว เกือบไม่ได้ถ่ายรูป |
ถือว่าครั้งนี้ได้กินของอร่อยหลายๆ อย่าง ที่ธรรมดาไม่ค่อยได้กิน
กลอยทอด นี้เค้าทอดยังไงก็ไม่รู้ หวานกรอบอร่อย ผมก็ไม่ได้ถามเค้ามัวแต่คุยเรื่องอื่น ...แม่ค้าเป็นคน จ.ขอนแก่น มาได้แฟนที่นี่เลยมาอยู่ที่นี่ มีลูกสาวกำลังเรียน ม.6 ...ครับ ไม่ได้คุยอะไรเกี่ยวกับของที่ขายเลย แม่ค้าน่ารักอัธยาศัยดี คุยสนุก เลยคุยกันเรื่อยเปื่อยไป
ทริปนี้เราให้เวลาในการแวะมากขึ้น ได้หยุด พัก กิน นอน เที่ยว กับระยะเวลา 5 วัน 4 คืน ถือว่าได้ไปซึมซับในแต่ละที่ได้พอสมควร ระหว่างทางก็ได้เห็นอะไรบ้าง หลับบ้าง ขับบ้าง ^_^
เมืองไทยยังมีอะไรให้เราเที่ยวอีกเยอะจริงๆ ครับ บ้านอื่นเมืองอื่นก็เหมือนกันครับ มีเวลา มีเงิน สุขภาพยังแข็งแรง ก็หาโอกาสไปเที่ยวชมสิ่งต่างๆ ให้ชื่นใจบ้างนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น