วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง จ.เชียงใหม่

     วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม 2558 
     ผมเดินทางมาที่ดอยอินทนนท์อีกครั้ง เพื่อมาดูนาขั้นบันไดที่น่าจะมีความชันมากที่สุดในเชียงใหม่ (ผมคิดว่านาขั้นบันไดที่มีความชันคงจะดูสวยกว่า)

     ไหนๆ ปีนี้ตัดสินใจมาเที่ยวนาขั้นบันไดแล้วก็ควรจะมาให้สุดตามที่เค้าแนะนำกัน เมื่อสัปดาห์ก่อนผมไปดูนาขั้นบันไดที่บ้านแม่กลางหลวง ที่นี่ขับรถเก๋งเข้าไปได้จนสุด เพราะไม่ชันมาก นาขั้นบันไดจึงอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบ จุดเด่นคือมีที่พักให้นักท่องเที่ยวหลายหลังและมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง จุดด้อยคือ ถ้าอยากมาดูนาขั้นบันไดชันๆ ที่นี่ไม่มี

     เพราะฉะนั้นถ้าจะไปชมความงามของนาขั้นบันได ควรจะไปชมขั้นบันไดที่สูงชัน ถึงจะสมกับความเป็นขั้นบันได...ผมคิดอย่างนั้น เลยตัดสินใจขับรถมาที่ดอยอินทนนท์อีกครั้ง เพื่อไปชมนาขั้นบันไดที่ บ้านป่าบงเปียง

     แต่คราวนี้ต่างจากเดิมตรงที่ ถนนทางไปบ้านป่าบงเปียง เป็นดินแดง เป็นหลุมบ่อ แคบและชันในบางช่วง เมื่อถามคนที่เคยไปแล้ว เค้าแนะนำว่าถ้าไม่มีรถกระบะ ควรใช้บริการรถนำเที่ยวในพื้นที่ จึงได้เบอร์ติดต่อมา ชื่อพี่วิชัย 081-0201691 ค่าบริการไป-กลับ 700 บาท ...สำหรับท่านที่ขึ้นมาทาง อ.แม่แจ่ม จะเป็นพี่เป๊ก 082-8885180 ราคาเดียวกัน

     เมื่อมีค่าใช้จ่ายลักษณะนี้ จะไปกัน 2 คนกับแฟนเหมือนเดิมก็ดูจะไม่คุ้ม เลยหาสมาชิกเพิ่มอีก 3 คน รวมทั้งหมด 5 คน พอรู้สึกคุ้มค่า สบายใจแล้ว จึงโทรนัดพี่วิชัยว่าเราจะเข้าไปวันไหน กี่โมง

     สำหรับการเดินทาง ให้ผ่านด่านเก็บเงินเข้ามาในดอยอินทนนท์เหมือนเดิม แต่คราวนี้ขับเข้าไปจนถึงด่านตรวจตั๋วที่ 2 แล้วเลี้ยวซ้ายทันทีเพื่อไปแม่แจ่ม (ผ่านด่านเข้ามาแล้วเลี้ยวทันทีเลยนะครับ ผมเลยไปจนต้องกลับรถมาใหม่) ขับไปประมาณ 12 กิโลเมตร จะพบป้ายน้ำตกห้วยทรายเหลือง เลี้ยวขวาลงไปจะเจอน้ำตกห้วยทรายเหลือง จนถึงลานจอดรถ อยู่ตรงหน้าห้องน้ำพอดี เรานัดเจอพี่วิชัยตรงนี้แหละครับ



     สักพักพี่วิชัยก็มารับพวกเราไปที่บ้านป่าบงเปียง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร หนทางเป็นดังในวิดีโอนี้แหละครับ...(ให้แฟนผมลองเป็นตากล้องบ้าง ภาพอาจสั่นนิดหน่อย)



     พี่วิชัยพาเรามาที่จุดชมนาขั้นบันไดหลักของบ้านป่าบงเปียง ส่วนจะกลับเมื่อไหร่ก็แล้วแต่เรา พี่วิชัยจะรออยู่แถวๆ นั้น ถ้ามีลูกค้าคนอื่นเรียก พี่เค้าจะออกไปรับแล้วพามาส่งที่นี่ ใครอยากจะกลับเค้าจะพาออกไปส่ง วันหนึ่งน่าจะได้หลายรายอยู่ แต่พี่เค้าบอกว่าจะมีลูกค้าเยอะแค่ช่วง ตค.-พย. นี่แหละ เพราะปลายพฤศจิกายน จะเริ่มเกี่ยวข้าวแล้ว นักท่องเที่ยวก็หายไปหมดล่ะ

     ถึงเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว พวกเราเลยลงไปเดินเล่นถ่ายรูปตามเรื่องตามราวกันไป
ภาพจากกล้องโทรศัพท์มือถือนะเนี่ย
สีเขียวของต้นข้าวนี่มองแล้วสบายตาจริงๆ

เรื่อนที่เห็นคือบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว มีไม่กี่หลัง ต้องจอง
มุมมองจากบ้านพักบนเนิน 

มองเสยกลับไปจะเห็นบ้านพักบนเนิน และจุดที่นักท่องเที่ยวจอดรถกัน


ระบบน้ำในแปลงนา น่าทึ่งในความคิดของคนสมัยก่อนจริงๆ

เดินลงไปจะเจอนาขั้นบันไดอีกแปลง

สาวงาม (?) ท่ามกลางรวงข้าว
      เดินเที่ยวชมความงามและถ่ายรูปนาขั้นบันไดบริเวณนี้กันจนหนำใจแล้ว ก็ให้พี่วิชัยพามาส่งอีกจุดหนึ่ง... ที่บ้านป่าบงเปียงมีจุดชมวิวนาขั้นบันไดอยู่ 3 จุด จุดแรกคือที่เราไปเมื่อกี้ จุดที่สองเลยมาอีกหน่อย แต่ชมวิวแปลงนาเดิม แค่เปลี่ยนมุมเฉยๆ ส่วนจุดที่สาม เลยมาชมวิวอีกแปลงนาเลย คนละหุบกัน

     เรามาที่จุดชมวิวที่สองก่อน ตรงจุดนี้จะเห็นนาขั้นบันไดในมุมที่กว้างกว่าจุดแรก
นาข้าวมีเจ้าของหลายคน แต่ละแปลงเลยเพาะปลูกไม่พร้อมกัน นอกจากปลูกข้าวแล้วที่นี่ยังปลูกข้าวโพดด้วย


พื้นที่ด้านนี้จะมีความชันมากกว่า ..ส่วนด้านขวาบน จะเป็นบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ตรงจุดชมวิวแรก



     จุดนี้เราอยู่ชมวิวไม่นาน เพราะไม่ค่อยสะดวกสำหรับการจอดรถ นอกจากนี้บริเวณที่จอดยังมีร้านขายขนมและเครื่องดื่มเล็กๆ สำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย

     ฝนเริ่มตกปรอยๆ เราถ่ายรูปอยู่กันสักพัก จึงให้พี่วิชัยพาไปจุดชมวิวที่สาม
จุดชมวิวที่สาม มาที่อีกหุบเขาหนึ่ง ด้านซ้ายมือเป็นหมู่บ้าน
ที่ยอดเขาด้านหลังนู่น มองเห็นน้ำตกด้วย 
     จากจุดชมวิวที่สาม มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นน้ำตกหรอกนะครับ (เว้นแต่ว่าคุณจะสายตายาวมากๆ 555) ภาพนี้ผมใช้เลนส์ 300 มม. แต่กล้องผมเป็น APS-C sensor ก็เลยคูณ 1.6 เหมือนการ crop ภาพในโฟโตช็อปนั่นแหละครับ จริงๆ focal length เท่ากันกับ Full frame sensor แต่โดนตัดขอบภาพรอบๆ ไป เลยดูเหมือน zoom in เข้าไปอีก ...ตัวคูณของ APS-C sensor มีประโยชน์สำหรับคนที่ถ่ายภาพสัตว์ป่าครับ เพราะบางครั้งเราไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆ สัตว์ที่จะถ่ายได้มากนัก

     เวลามาเที่ยว ผมไม่มีกล้องส่องทางไกล เลยใช้เลนส์กล้อง DSLR ส่องแทน 555

หมู่บ้านที่อยู่ทางด้านซ้ายของนาขั้นบันได
มุมซ้ายบนกำลังเกี่ยวข้าว

ที่แต่ละแปลงปลูกไม่พร้อมกัน คงเพื่อจะช่วยกันเก็บเกี่ยวได้ทัน   
     มาท่องเที่ยวแบบมีคนในท้องถิ่นนำทาง ข้อดีคือเราได้ความรู้เพิ่มเติมจากการพูดคุย ...พี่วิชัยบอกว่า พอเกี่ยวข้าวเสร็จก็จะปลูกข้าวโพดแทนในพื้นที่เดิม ทั้งข้าวและข้าวโพดใช้เวลาเพาะปลูกประมาณ 6 เดือนเหมือนกัน รวมเป็น 12 เดือนพอดี เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว จะมีพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อถึงในพื้นที่

     ชีวิตของเกษตรกรลักษณะนี้มักจะถูกเอาเปรียบด้านราคาจากพ่อค้าคนกลาง (อันนี้ผมพูดเอง พี่วิชัยไม่ได้พูด) การเพิ่มรายได้โดยการท่องเที่ยวอย่างที่พี่เค้าทำ น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง

     ส่วนตัวผมและชาวคณะถึงเวลาเดินทางกลับบ้าน เตรียมทำงานกันต่อไป แล้วเป้าหมายในการเดินทางครั้งใหม่จะเป็นที่ไหนค่อยว่ากันอีกที เฉพาะที่เชียงใหม่ก็มีธรรมชาติสวยๆ อีกหลายที่ที่ยังไม่เคยไป เมืองไทยเรานี่สุดยอดจริงๆ ครับ ^_^



ข้อมูลเพิ่มเติมครับ
http://pantip.com/topic/30862714
http://www.paiduaykan.com/province/north/chiangmai/papongpieng.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น