ผมเดินทางมาที่ดอยอินทนนท์อีกครั้ง เพื่อมาดูนาขั้นบันไดที่น่าจะมีความชันมากที่สุดในเชียงใหม่ (ผมคิดว่านาขั้นบันไดที่มีความชันคงจะดูสวยกว่า)
ไหนๆ ปีนี้ตัดสินใจมาเที่ยวนาขั้นบันไดแล้วก็ควรจะมาให้สุดตามที่เค้าแนะนำกัน เมื่อสัปดาห์ก่อนผมไปดูนาขั้นบันไดที่บ้านแม่กลางหลวง ที่นี่ขับรถเก๋งเข้าไปได้จนสุด เพราะไม่ชันมาก นาขั้นบันไดจึงอยู่ในพื้นที่ค่อนข้างราบ จุดเด่นคือมีที่พักให้นักท่องเที่ยวหลายหลังและมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง จุดด้อยคือ ถ้าอยากมาดูนาขั้นบันไดชันๆ ที่นี่ไม่มี
เพราะฉะนั้นถ้าจะไปชมความงามของนาขั้นบันได ควรจะไปชมขั้นบันไดที่สูงชัน ถึงจะสมกับความเป็นขั้นบันได...ผมคิดอย่างนั้น เลยตัดสินใจขับรถมาที่ดอยอินทนนท์อีกครั้ง เพื่อไปชมนาขั้นบันไดที่ บ้านป่าบงเปียง
แต่คราวนี้ต่างจากเดิมตรงที่ ถนนทางไปบ้านป่าบงเปียง เป็นดินแดง เป็นหลุมบ่อ แคบและชันในบางช่วง เมื่อถามคนที่เคยไปแล้ว เค้าแนะนำว่าถ้าไม่มีรถกระบะ ควรใช้บริการรถนำเที่ยวในพื้นที่ จึงได้เบอร์ติดต่อมา ชื่อพี่วิชัย 081-0201691 ค่าบริการไป-กลับ 700 บาท ...สำหรับท่านที่ขึ้นมาทาง อ.แม่แจ่ม จะเป็นพี่เป๊ก 082-8885180 ราคาเดียวกัน
เมื่อมีค่าใช้จ่ายลักษณะนี้ จะไปกัน 2 คนกับแฟนเหมือนเดิมก็ดูจะไม่คุ้ม เลยหาสมาชิกเพิ่มอีก 3 คน รวมทั้งหมด 5 คน พอรู้สึกคุ้มค่า สบายใจแล้ว จึงโทรนัดพี่วิชัยว่าเราจะเข้าไปวันไหน กี่โมง
สำหรับการเดินทาง ให้ผ่านด่านเก็บเงินเข้ามาในดอยอินทนนท์เหมือนเดิม แต่คราวนี้ขับเข้าไปจนถึงด่านตรวจตั๋วที่ 2 แล้วเลี้ยวซ้ายทันทีเพื่อไปแม่แจ่ม (ผ่านด่านเข้ามาแล้วเลี้ยวทันทีเลยนะครับ ผมเลยไปจนต้องกลับรถมาใหม่) ขับไปประมาณ 12 กิโลเมตร จะพบป้ายน้ำตกห้วยทรายเหลือง เลี้ยวขวาลงไปจะเจอน้ำตกห้วยทรายเหลือง จนถึงลานจอดรถ อยู่ตรงหน้าห้องน้ำพอดี เรานัดเจอพี่วิชัยตรงนี้แหละครับ
สักพักพี่วิชัยก็มารับพวกเราไปที่บ้านป่าบงเปียง ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร หนทางเป็นดังในวิดีโอนี้แหละครับ...(ให้แฟนผมลองเป็นตากล้องบ้าง ภาพอาจสั่นนิดหน่อย)
พี่วิชัยพาเรามาที่จุดชมนาขั้นบันไดหลักของบ้านป่าบงเปียง ส่วนจะกลับเมื่อไหร่ก็แล้วแต่เรา พี่วิชัยจะรออยู่แถวๆ นั้น ถ้ามีลูกค้าคนอื่นเรียก พี่เค้าจะออกไปรับแล้วพามาส่งที่นี่ ใครอยากจะกลับเค้าจะพาออกไปส่ง วันหนึ่งน่าจะได้หลายรายอยู่ แต่พี่เค้าบอกว่าจะมีลูกค้าเยอะแค่ช่วง ตค.-พย. นี่แหละ เพราะปลายพฤศจิกายน จะเริ่มเกี่ยวข้าวแล้ว นักท่องเที่ยวก็หายไปหมดล่ะ
ถึงเป้าหมายในการเดินทางครั้งนี้แล้ว พวกเราเลยลงไปเดินเล่นถ่ายรูปตามเรื่องตามราวกันไป
ภาพจากกล้องโทรศัพท์มือถือนะเนี่ย |
สีเขียวของต้นข้าวนี่มองแล้วสบายตาจริงๆ |
เรื่อนที่เห็นคือบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว มีไม่กี่หลัง ต้องจอง |
มุมมองจากบ้านพักบนเนิน |
มองเสยกลับไปจะเห็นบ้านพักบนเนิน และจุดที่นักท่องเที่ยวจอดรถกัน |
ระบบน้ำในแปลงนา น่าทึ่งในความคิดของคนสมัยก่อนจริงๆ |
เดินลงไปจะเจอนาขั้นบันไดอีกแปลง |
สาวงาม (?) ท่ามกลางรวงข้าว |
เรามาที่จุดชมวิวที่สองก่อน ตรงจุดนี้จะเห็นนาขั้นบันไดในมุมที่กว้างกว่าจุดแรก
นาข้าวมีเจ้าของหลายคน แต่ละแปลงเลยเพาะปลูกไม่พร้อมกัน นอกจากปลูกข้าวแล้วที่นี่ยังปลูกข้าวโพดด้วย |
พื้นที่ด้านนี้จะมีความชันมากกว่า ..ส่วนด้านขวาบน จะเป็นบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ตรงจุดชมวิวแรก |
จุดนี้เราอยู่ชมวิวไม่นาน เพราะไม่ค่อยสะดวกสำหรับการจอดรถ นอกจากนี้บริเวณที่จอดยังมีร้านขายขนมและเครื่องดื่มเล็กๆ สำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
ฝนเริ่มตกปรอยๆ เราถ่ายรูปอยู่กันสักพัก จึงให้พี่วิชัยพาไปจุดชมวิวที่สาม
จุดชมวิวที่สาม มาที่อีกหุบเขาหนึ่ง ด้านซ้ายมือเป็นหมู่บ้าน |
ที่ยอดเขาด้านหลังนู่น มองเห็นน้ำตกด้วย |
เวลามาเที่ยว ผมไม่มีกล้องส่องทางไกล เลยใช้เลนส์กล้อง DSLR ส่องแทน 555
หมู่บ้านที่อยู่ทางด้านซ้ายของนาขั้นบันได |
มุมซ้ายบนกำลังเกี่ยวข้าว |
ที่แต่ละแปลงปลูกไม่พร้อมกัน คงเพื่อจะช่วยกันเก็บเกี่ยวได้ทัน |
ชีวิตของเกษตรกรลักษณะนี้มักจะถูกเอาเปรียบด้านราคาจากพ่อค้าคนกลาง (อันนี้ผมพูดเอง พี่วิชัยไม่ได้พูด) การเพิ่มรายได้โดยการท่องเที่ยวอย่างที่พี่เค้าทำ น่าจะเป็นทางออกที่ดีทางหนึ่ง
ส่วนตัวผมและชาวคณะถึงเวลาเดินทางกลับบ้าน เตรียมทำงานกันต่อไป แล้วเป้าหมายในการเดินทางครั้งใหม่จะเป็นที่ไหนค่อยว่ากันอีกที เฉพาะที่เชียงใหม่ก็มีธรรมชาติสวยๆ อีกหลายที่ที่ยังไม่เคยไป เมืองไทยเรานี่สุดยอดจริงๆ ครับ ^_^
ข้อมูลเพิ่มเติมครับ
http://pantip.com/topic/30862714
http://www.paiduaykan.com/province/north/chiangmai/papongpieng.html
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น