วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

จองเอง เที่ยวเอง : เชียงใหม่-ฮ่องกง-มาเก๊า Part 1

03-07.11.2016


     4 ปีผ่านไปไวเหมือนโกหก ...แล้วผมก็ได้มาเยือนฮ่องกงอีกเป็นครั้งที่ 2 
     ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว พี่เค้าพาไป ผมไม่รู้ข้อมูลอะไรเลย ไปเที่ยวถ่ายรูปอย่างเดียว เพลิดเพลินสบายอุรา มาครั้งนี้ผมต้องรับผิดชอบพาพ่อแม่ผม และครอบครัวแฟนไปด้วย โดยผมต้องเป็นผู้นำทริป...เครียดเลย

     หลังจากหาข้อมูลและวางแผนการเดินทางประมาณ 1 สัปดาห์ ผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่เอากล้องไป เพราะคงไม่ได้ถ่ายรูปเป็นแน่แท้ เนื่องจากต้องพาชาวคณะอีก 5 คนไปด้วย (รวมเป็น 6 คน) เป็นผู้สูงอายุเสีย 3 คน แล้วผมก็ไม่เคยไปฮ่องกงด้วยตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ต้องจัดการทุกอย่างเองหมด ลำพังแค่นี้ก็ไม่รู้จะรอดหรือเปล่า อย่าไปหวังเรื่องถ่ายรูปเลย...แต่ก็ยังแอบพกกล้อง Compact ไปด้วยอยู่ดี ^_^


ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ มีดังนี้ครับ

1. ค่าตั๋วเครื่องบินต่อคน ไป-กลับคนละ 4,493 บาท 
2. ค่าห้องพัก 1 ห้องนอน 2 คน คืนละประมาณ 1,236 บาท รวม 4 คืน 4,945 บาท
3. ค่าซิมฮ่องกง (แบบไม่โทรกลับไทย) ซิมละ 390 บาท (1 ซิมใช้ 2 คน) รวม 3 ซิม 1,170 บาท
4. ค่าตั๋วขึ้นกระเช้า Nong Ping 360 คนละ 628 บาท (แบบธรรมดา พื้นไม่ใส)
5. ค่าเรือ Turbo Jet ไป-กลับ ฮ่องกง-มาเก๊า คนละ 1,724 (เที่ยวไปแพงกว่าเที่ยวกลับ)
6. ค่าอาหารและใช้จ่ายทั่วไปคนละ 3,963 บาท

เฉลี่ยแล้วคนละ 13,475 บาท (ผมแลกเงินที่เชียงใหม่ 1 HKD = 4.52 บาท)

ผมทำกำหนดการท่องเที่ยวออกมาดังนี้
     ในกำหนดการผมจะใส่ชื่อสถานที่เป็นภาษาอังกฤษไว้ให้ชาวคณะพก เผื่อพลัดหลง จะได้เอาไว้อ้างอิง และมีวิธีการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ อันนี้ผมเอาไว้ดูเอง เพราะผมก็จำไม่ได้ จะเดินทางไปไหนทีนึงผมก็ต้องเอาออกมาดู

     บทความนี้ผมจะแปะลิงก์ข้อมูลที่ทำให้ผมเดินทางไปยังที่ต่างๆ ได้ถูกต้องไว้ด้วย เผื่อใครอยากไปเอง อ่านรายละเอียดตามนี้แล้ว รับรองว่าไปเองได้แน่นอน

     เริ่มที่สายการบิน HK Express (http://www.hkexpress.com/en-hk) แฟนผมอยากลองของใหม่ แต่รีบจองไปหน่อยเลยได้ราคาแพง ตอนหลังมีราคาถูกกว่าเป็นพันเลย ที่รีบจองเพราะผมเร่งอยากให้พ่อกับแม่ได้ไปเร็วๆ และผมเองไม่ค่อยรู้ราคาโปรโมชั่นว่าจะมีช่วงไหนบ้าง เลยให้จองไปเลย กลัวว่าใกล้ๆ แล้วจะแพง แต่กลายเป็นว่าผ่านไปสักเดือนสองเดือนราคาลงอีกเยอะเลย รวมทั้งสายการบิน Air Asia ด้วย
     เป็นบทเรียนให้ผมได้รู้ว่าราคาโปรโมชั่นของตั๋วเครื่องบินนี่มีขึ้น-ลง เหมือนหุ้น ต้องหาแนวรับและจังหวะเข้าซื้อดีๆ ^_^

พฤหัสบดี 3 พฤศจิกายน 2559

     สายการบิน HK Express มีเที่ยวบินตรงเชียงใหม่-ฮ่องกง เมื่อไปถึงสนามบินเชียงใหม่ จะอยู่ตรงเคาท์เตอร์ 7-9 ในอาคารระหว่างประเทศ พนักงานจะมานั่งประมาณ 17.00 น. (ทีแรกผมลองไปสำรวจตอนเที่ยง เลยหาไม่เจอ) ให้ถือกระเป๋าขึ้นเครื่องได้น้ำหนักไม่เกิน 7 กก. ต่อคน
     วันที่ผมไป เครื่องดีเลย์ ออกจากเชียงใหม่ 20.25 น. ถึงฮ่องกง 23.50 น. ตามเวลาฮ่องกงซึ่งบวกเพิ่มจากไทยไปอีก 1 ชั่วโมง 
     (ภาพถ่ายในบทความนี้ทั้งหมด มาจากกล้องโทรศัพท์มือถือของชาวคณะ ยกเว้นผมกับแฟนได้มุมมองที่หลากหลายดี)
สนามบินฮ่องกง ใกล้ๆ กับจุดที่ขาย Octopus Card
     สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อถึงสนามบินฮ่องกงคือ หาซื้อ Octopus Card ซึ่งต่อไปจะขอเรียกว่าบัตรปลาหมึก เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาบัตรปลาหมึกนี้สะดวกมากสำหรับขึ้นรถ ลงเรือ และยังใช้ซื้อของใน 7-11 ได้อีก รายละเอียดบัตรปลาหมึก ตามลิงก์นี้ http://www.hongkongfanclub.com/index.php?topic=23.0 กับ http://www.hongkongpackage.net/board/index.php?topic=13.0

     คือผมกลัวว่าตอนเที่ยงคืนจุดขายบัตรเค้าจะปิดแล้ว เลยรีบวิ่งไปถามพนักงานในสนามบิน เค้าก็บอกจุดมาและบอกว่าใกล้จะปิดแล้ว ผมนี่รีบวิ่งเลย ไปถึงจุดขายบัตรปลาหมึก เห็นยังมีคนต่อแถวซื้อกันอยู่ เลยโล่งใจ หันกลับไปดูก็เห็นชาวคณะรีบจ้ำตามมา ซึ่งตอนนี้เราใส่ซิมเข้าไปในโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว บันทึกเบอร์กันเสร็จสรรพ เป็นซิมที่สั่งซื้อมาจากเมืองไทย คำนวณราคาแล้วพอๆ กับมาซื้อที่ฮ่องกง หรืออาจถูกว่านิดหน่อย ตามอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าสนใจสั่งซื้อได้ตามลิงก์นี้เลย http://www.hongkongpackage.net/board/index.php/topic,16.0.html

     สรุปว่ามาซื้อบัตรปลาหมึกทัน เรื่องนี้ผมลุ้นตั้งแต่ก่อนมาถึงฮ่องกง เพราะว่าพ่อผมอายุ 69 ปีแล้ว จะซื้อได้ในราคาผู้สูงอายุ (เค้าให้ 65 ปีขึ้นไป และเป็นบัตรคนละสีกัน) ค่าตั๋วต่างๆ จะถูกกว่าปกติเกือบครึ่ง คุ้มมากๆ และความสะดวกของบัตรก็ดีมากๆ เพราะเราไม่ต้องเตรียมแบงค์เตรียมเหรียญ ไม่ต้องรู้ราคาค่าโดยสาร แค่ขึ้นไปแตะก็เป็นอันเสร็จ จะมีข้อมูลขึ้นมาให้เราดูได้ตอนนั้น สะดวกมาก ที่สำคัญคนฮ่องกงแทบไม่พูดภาษาอังกฤษ และไม่พูดจีนกลาง คือ ถ้าจะถามราคาค่าโดยสารนี่คุยกับไม่รู้เรื่องแน่ รถเมล์ก็เป็นแบบให้หยอดเหรียญเองไม่มีทอน บัตรปลาหมึกสะดวกที่สุดแล้ว ถ้าไม่ได้ซื้อที่นี่ก็หาซื้อได้ตามสถานีรถไฟใต้ดิน แต่ผมอยากซื้อและใช้กับรถบัสที่จะนั่งเข้าที่่พักเลย

     ได้บัตรปลาหมึกแล้วก็ไปขึ้นรถบัสเข้าที่พักกัน เป็นรถบัสสาย N21 (สำหรับกลางคืน) ถ้าตอนกลางวันก็จะเป็นสาย A21 วิ่งเส้นทางเดียวกัน รายละเอียดตามนี้เลยครับ http://www.nwstbus.com.hk/routesearch.aspx?t=1480407968428&intLangID=1
ส่วนจะไปขึ้นรถตรงจุดไหน ดูได้ตามนี้เลย http://www.hongkongfanclub.com/index.php?topic=25669.0

     เดินมารอขึ้นรถเห็นคนต่อแถวยาวเหมือนกันทีแรกคิดว่าคงต้องรอคันต่อไป แต่พอรถเข้ามาก็สามารถขึ้นไปได้ครบทุกคน (ตอนหลังได้อ่านข้อมูลข้างๆ รถ สำหรับรถสองชั้น บางคันรับได้ถึง 100 คน ทั้งนั่งและยืน) ภายในรถมีจอทีวีแสดงข้อมูลเส้นทางที่วิ่ง และบอกป้ายต่างๆ ที่จะเข้าจอด เราก็ดูตามข้อมูลบนจอ แล้วก็มายืนรอเตรียมลงได้เลย

     ในรถบัส N21 ที่นั่งเข้าที่พัก ผมเจอวัยรุ่นผู้หญิงคนไทยมาเที่ยวกันเองหลายคน บ้างมาเดี่ยว บ้างมาคู่ จนถึงวันกลับที่ผมได้เจอก็เป็นกลุ่มผู้หญิงหลายๆ วัย เห็นแล้วชื่นชมครับ ผู้หญิงไทยเราเก่ง ^_^

     ครั้งนี้ผมไปพักแถวจิมซาจุ่ย (4 ปีที่แล้วพี่เค้าพาไปพักแถวมงก๊ก) ที่พักอยู่ในตึกชื่อ Mirador Mansion อารมณ์คล้ายๆ แฟลตดินแดง ที่กทม. มีความน่ากลัวนิดๆ 555+ ที่พักชื่อ Pearl Premium Guest House แฟนผมจองมาจาก Agoda เช่นเคย
     ผมจำลองการเดินทางใน Google Maps มาแล้ว แบบ 3D ซะด้วย (ไม่ธรรมดา) แต่ก็ยังกังวลหน่อยๆ เพราะมาถึงที่พักก็ตีหนึ่งกว่าๆ แล้ว สงสารผู้ใหญ่ทั้ง 3 ท่าน ถ้าเกิดหลงอีกนี่เครียดเลย โชคดีที่ลงป้ายถูก เดินมาอีกนิดหน่อยก็ถึงตึกที่พัก เข้าไปเจอยามให้กรอกชื่อที่อยู่ของผู้ที่ผ่านเข้าไปในตึก (เดาว่าให้กรอกเฉพาะหลังเที่ยงคืน เพราะผมมาเวลาอื่นไม่เจอ) แล้วพี่ยามก็บอกทางไปขึ้นลิฟท์ 
     ที่พักอยู่ชั้น 16 ของอาคาร พอขึ้นมาถึงก็จะเจอ ป้ายหน้าห้องเขียนชื่อประมาณ Pearl Guest House หรือไงนี่แหละครับ จำไม่ได้ แต่ไม่ตรงกับข้อมูลที่จองมา พวกผมเลยยืนเก้ๆ กังๆ กันหน้าห้อง จนพนักงานของห้องพักเปิดประตูออกมาถาม จึงรู้ว่าคือที่นี่แหละ
     ตอนที่จองห้องพักผ่าน Agoda ผมเขียนข้อมูลบอกไปด้วยว่า จะไปถึงที่พักประมาณ ตี 2 เพราะไม่แน่ใจว่าเค้าให้เช็คอินได้ถึงกี่โมง 
     สรุปว่าตึก Mirador Mansion เปิดให้เข้าออกได้ 24 ชั่วโมง ลิฟท์เปิดให้ใช้งานได้ 24 ชั่วโมง แต่อีกจุดหนึ่งไม่แน่ใจ (ลิฟท์มี 2 จุด)
     โชคดีอีกอย่างก็คือห้องพักของเราทั้ง 3 ห้องอยู่ด้วยกันที่ตึกนี้ บนชั้น 16 ซึ่งเป็นส่วนต้อนรับหลัก มีพนักงานตลอด 24 ชั่วโมง ผมเห็นบางคนมาติดต่อที่ตึกนี้แล้วต้องไปพักตึกอื่น หรือชั้นอื่น
แคบแต่สะอาด มีตู้เย็นเล็กๆ อยู่ใต้ตู้เซฟ ปลั๊กแปลงไฟเราต้องเตรียมไปเอง

ห้องน้ำใช้งานได้ทีละคนเพราะแคบ มีน้ำอุ่น สบู่เหลวและแชมพู
     ภายนอกตึกดูเก่าโทรม แต่ในห้องพักดูสะอาดและค่อนข้างใหม่ ขนาดห้องกว้างกว่าที่ผมเคยพักที่มงก๊ก อันนั้นแคบมาก ผมเลยหาที่พักใหม่จนได้ที่นี่
     พาชาวคณะมาถึงที่พักโดยสวัสดิภาพได้ผมก็โล่งใจไปหนึ่งเปลาะ แยกย้ายกันเข้าห้องพักและนัดพบกันใหม่ตอนเช้า ...จริงๆ ก็อีกไม่กี่ชั่วโมงละ

ศุกร์ 4 พฤศจิกายน 2559

     เริ่มเช้าวันใหม่ด้วยความสดชื่น?? รึเปล่า?? ยังง่วงๆ เพลียๆ อยู่แหละครับ นอนซะเกือบเช้าละ ถึงจะได้นอนไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็หลับสนิทดี ภายในที่พักจะมีเตาไมโครเวฟ ตู้กดน้ำเย็น-ร้อน ให้เราใช้ได้ 24 ชั่วโมง และมีห้องน้ำรวมให้ 1 ห้อง มีโซฟายาวสำหรับนั่งรอ รวมๆ แล้วก็สะดวกพอสมควร ถึงพื้นที่จะแคบแต่ก็จัดสรรได้ดี
     อาหารมื้อเช้าสำหรับวันนี้เราจะไปกินโจ๊กกัน สำหรับร้านอาหารต่างๆ แฟนผมหาข้อมูลมาจากที่นี่ http://hongkongfanclub.blogspot.com/?m=0 เค้าทำรายละเอียดไว้ดีมากๆ
     ร้านโจ๊กชื่อ Hung Lee Restaurant เดินไปจากที่พักไม่ไกลมาก (ตามลิงก์นี้ http://hongkongfanclub.blogspot.com/p/blog-page_898.html) จากที่พักเดินตามถนน Carnarvon ขึ้นไปทางเหนือ จนไปเจอซอยทางขวามือชื่อ Hau Fook St. เลี้ยวเข้าไปในซอยจะเจอร้านโจ๊กอยู่ทางขวามือ 
มีป้ายชื่อถนนบอกเป็นระยะ

ไปถูกบ้าง หลงบ้าง ปนๆ กันไป

สุดท้ายก็มาถึงร้านจนได้
     ร้านโจ๊กเปิด 7.00-2.00 น. (คือเจ็ดโมงเช้าถึงตีสอง ไม่นอนกันเลยหรือไง) ตลอดทริปนี้พวกผมไปกินที่ร้านนี้เกือบทุกวัน ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เจอก็เป็นคนไทยนี่เอง มีเมนูภาษาไทย พนักงานพูดและฟังภาษาไทยสำหรับการสั่งอาหารได้แล้ว (เป็นคุณลุงผอมๆ)
โจ๊กเนื้อละเอียดจนแทบจะเป็นน้ำซุปละ

บะหมี่น่ากินมาก
ปาท่องโก๋อร่อยดี

อันนี้แบบมีแผ่นก๋วยเตี๋ยวห่อ กินตอนเช้าอร่อยมาก 
     ปาท่องโก๋ห่อด้วยเส้นก๋วยเตี๋ยวนี่ วันอื่นผมมาสั่งอีกแต่่เป็นตอนดึก ไม่ค่อยอร่อย เพราะปาท่องโก่คงทอดไว้ตั้งแต่เช้า มันเย็นชืดหมดแล้ว แนะนำว่าถ้าจะกิน ให้สั่งตอนมื้อเช้าจะอร่อยที่สุด โดยรวมอร่อยและราคาไม่แพง แต่ถ้าเป็นคนกินจุคงไม่อิ่ม

     กินเสร็จก็เตรียมพร้อมเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน MTR จริงๆ มันก็มีใต้ดินบ้าง ใต้ทะเลบ้าง บนดินบ้าง แล้วแต่เส้นทางที่เราไป ต่อไปผมจะเรียก MTR ละกัน (http://www.mtr.com.hk/en/customer/tourist/index.php) ทางลง MTR สถานี Tsim Sha Tsui อยู่แถวๆ อาคารที่พักนั่นแหละ ลงได้หลายทางสะดวกมาก พื้นที่ใต้ดินของสถานี Tsim Sha Tsui กว้างมากกกก ถ้าไม่จำหมายเลขทางเข้า-ออกดีๆ นี่หลงได้เลย

     ช่วงเช้าเราจะไปเที่ยวที่ Chi Lin Nunnery และ Nan Lian Garden โดยเริ่มจากนั่ง MTR สถานี Tsim Sha Tsui สายสีแดง ไปสถานี Prince Edward เพื่อเปลี่ยนสายไปสีเขียว และต่อไปสถานี Diamond Hill ออกมาทาง exit C2 เราก็จะโผล่มาออกที่ห้าง Plaza Hollywood จากนั้นก็เดินไปตามป้ายบอกทางซึ่งมีให้สังเกตเป็นระยะ 
เดินขึ้นบันไดนี้ไปก็เจอ Chi Lin Nunnery
ด้านหน้ากำลังปรับปรุง
มากี่ครั้งก็ยังรู้สึกว่าที่นี่สวย ออกแบบวางผังดี เดินเพลิน องค์พระก็สวยมากๆ

สระบัวสวยดี
     จากที่นี่เราก็เดินข้ามไปอีกฝั่งซึ่งเป็น Nan Lian Garden เป็นสวนที่สวย ผมประทับใจตั้งแต่ที่ได้มาครั้งก่อน ทั้ง 2 จุดนี้สร้างขึ้นใหม่ ไม่ได้มีความเก่าแก่ทางประวัติศาสตร์ แต่ทำได้สวย จนเป็นจุดท่องเที่ยวที่มีคนมาเยี่ยมชมไม่ขาด
เดินข้ามสะพานลอยตรงนี้แหละ ทำได้กลมกลืนกันมาก เดินข้ามมาแบบไม่รู้ตัว
อาคารที่เป็นจุดสังเกตหลักของที่นี่

บรรยากาศสงบ



อาคารนี้เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์ ด้านในมีแบบจำลองอาคารให้ชม

จำลองวิธีการเข้าเดือยอาคารไม้แบบไม่ใช้ตะปูให้ดู

ทำแบบจำลองได้สวยและละเอียดมาก


     ทั้ง Chi Lin Nunnery และ Nan Lian Garden เป็นจุดที่ผมรู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะมาชม เมื่อได้มาฮ่องกง เดินทางก็ง่าย ไม่มีค่าเข้าชม พักผ่อนได้ทั้งวัน ผู้ใหญ่ที่มาในทริปนี้ชื่นชอบกันทุกคน ^_^
     เดินกลับมาที่ Plaza Hollywood หาข้าวกลางวันกิน ได้กินเบอร์เกอร์ร้าน McDonald's ง่าย เร็ว ถูก

     จากจุดนี้เราจะไปต่อกันที่ Sik Sik Yuen Wong Tai Sin Temple (วัดหวังต้าเซียน) โดยนั่ง MTR กลับไป 1 สถานี ที่สถานี Wong Tai Sin ออกทาง exit B3
ทางเข้าวัด

จุดที่คนมานั่งขอพร

   
     ครั้งนี้คนไม่แน่นเหมือนที่ผมเคยมาครั้งก่อน เลยเดินชมส่วนต่างๆ ได้สะดวก เดินครบหนึ่งรอบแล้ว เราก็ไปหากาแฟกิน (สมาชิกในทีมดูไม่ค่อยสนใจกับที่นี่เท่าไร คงจะเหมาะกับผู้ที่ตั้งใจมาขอพร ถ้ามาเที่ยวเฉยๆ คงไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไร)
     เดินออกมาจากวัด ก่อนลงสถานี MTR จะมีห้างฯ เราเข้าไปหาของว่างทานในนั้น ด้วยความที่ไม่อยากเสียเวลามาก เพราะต้องไปจุดอื่นต่อ เลยเลือกร้านแรกที่เราเจอ รสชาติอร่อย ราคารับได้
ผมหิวเลยสั่งบะหมี่ กุ้งตัวใหญ่ดี เส้นหมี่อร่อย

คนอื่นทานเป็นเครื่องดื่มและของว่าง
     จุดต่อไปคือนั่งกระเช้า Ngong Ping 360 โดยลง MTR สถานี Wong Tai Sin ไปสถานี Prince Edward เพื่อเปลี่ยนไปสายสีแดง ไปสถานี Lai King แล้วเปลี่ยนไปสายสีเหลือง ไปสถานี Tung Chung
     เมื่อเดินออกมาจากสถานีจะเจอ Citygate Outlets ขายสินค้าแบรนด์เนมลดราคาตลอดปี เราก็เดินต่อไปจะมีป้ายบอกให้ไปขึ้นกระเช้า Ngong Ping 360 ซึ่งแฟนผมสั่งซื้อตั๋วมาจากเมืองไทยแล้ว ข้อดีก็คือเราไม่ต้องต่อแถวซื้อตั๋ว สามารถเข้าช่องเฉพาะสำหรับคนที่จองตั๋วมาแล้ว
ทีมผมไปกับ 6 คน เลยได้นั่ง 1 กระเช้าพอดี (อัดได้ 10 คน/กระเช้า)

นั่งผ่านทะเล 



ผ่านภูเขา

เห็นพระพุทธรูปเทียนถาน (พระใหญ่) แล้ว

       ลงจากกระเช้าแล้วเดินผ่านร้านค้าต่างๆ อีกสักพัก ก็จะถึงพระพุทธรูปเทียนถาน
เดินขึ้นไปสักการะ
     ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.discoverhongkong.com/th/see-do/culture-heritage/chinese-temples/big-buddha-and-po-lin-monastery.jsp
     ครั้งนี้ผมตั้งใจจะไปอารามโป๋หลิน กับ Wisdom Path เพราะครั้งที่แล้วไม่ได้ไป
     อารามโป๋หลินอยู่ตรงข้ามกับพระใหญ่เดินมานิดเดียวก็ถึง
ที่เห็นหลังคาส้มๆ นั่นแหละครับ

อยู่ท่ามกลางหุบเขา

ด้านในสวยมาก แต่ห้ามถ่ายรูป
     อารามด้านหลังสุด ภายในตกแต่งสวยงามมาก พระพุทธรูปก็สวยมากๆ ดีใจที่ตัดสินใจเดินมาดู เสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไป Wisdom Path ต่อ เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่ากระเช้าเที่ยวสุดท้าย 18.00 น. ตอนนี้ก็ห้าโมงกว่าๆ ละ
     Wisdom Path ต้องเดินไปอีกไกลพอสมควร ประมาณ 1-2 กม. ผมไม่แน่ใจเพราะรีบจ้ำ ถ้าเราหันหน้าไปทางพระใหญ่ ทางไป Wisdom Path จะอยู่ซ้ายมือ

     
     ไปถึงแล้วก็จะมีแท่งไม้ตั้งอยู่ตามในรูปนั่นแหละครับ บรรยากาศดีทีเดียว แต่ด้วยเวลาจำกัดเลยต้องรีบกลับ
     เดินกลับไปรอขึ้นกระเช้าเกือบๆ หกโมงเย็น คนมาต่อแถวยาวน่าจะเป็นร้อยคน แถวต้องหักพับไปมาแบบลำไส้เล็ก (เปรียบเทียบให้เห็นภาพ) ยืนรอขึ้นกระเช้ากันจนมืด รวมๆ แล้วน่าจะมากกว่า 1 ชั่วโมง
     นั่งกระเช้ากลับมาที่ Citygate Outlets ก็แยกย้ายกันไปหาซื้อรองเท้าผ้าใบกัน ราคาลดแล้วถูกกว่าที่เมืองไทย ทั้ง Nike, Reebok, New Balance, และอื่นๆ
     กว่าจะเลือกรองเท้าที่ถูกใจกันได้ก็ค่ำแล้ว เราเลยตัดสินใจหาข้าวเย็นทานกันที่นั่น หลังจากเดินดูรอบๆ แล้ว แฟนผมก็ไปเจอร้านซูชิ 3 เหรียญ (http://hongkongfanclub.blogspot.com/p/blog-page_234.html) เลยชวนซื้อมากิน คุณภาพและราคาถือว่าถูกกว่าที่บ้านเรา เลือกซื้อมาแล้วก็ไปหาที่นั่งกิน เดินไปจนเจอบันไดทางขึ้นไปด้านหลังอาคาร กว้างและเงียบ เราเลยตัดสินใจนั่งกินกันตรงนั้น ส่วนนึงก็คงเพราะว่าหมดแรงกันแล้ว นอนก็น้อย เดินทางไปหลายที่ และเดินเท้าอีกพอสมควร
     แต่กลับกลายเป็นว่ามื้อบ้านๆ นี้กลายเป็นมื้อที่อยู่ในความทรงจำของพวกเราในทีม เป็นความรู้สึกที่ผ่อนคลาย เหมือนได้นั่งพักทานอาหารกันที่ชานบ้าน ในบรรยากาศที่ความมืดเข้าปกคลุมท้องฟ้า แสงสว่างจากดวงดาวค่อยๆ ส่องประกายออกมา สายลมเย็นๆ พัดไปทั่วบริเวณ อาหารที่แต่ละคนเลือกมา ถูกแจกจ่ายไปให้ชิมรสกันทั่วหน้า เป็นมื้อดีๆ ที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ...นี่แหละเสน่ห์ของการเดินทาง

     จากนั้นเราก็นั่ง MTR กลับมาจนถึงสถานี Tsim Sha Tsui เข้าที่พัก อาบน้ำ นอน เพื่อจะตื่นมาเดินทางในวันพรุ่งนี้ต่อไป

...อ่านต่อ Part2 >>

1 ความคิดเห็น: