วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

จองเอง เที่ยวเอง : เชียงใหม่-ฮ่องกง-มาเก๊า Part 3

03-07.11.2016


อาทิตย์ 6 พฤศจิกายน 2559

     อยู่ที่นี่มา 2 คืนเริ่มชินละ วันนี้เลยเดินไปกินอาหารเช้าที่ร้านโจ๊กเดิมอย่างมั่นใจ แต่พอเดินไปสักครึ่งทางก็ชักลังเล วันนี้วันอาทิตย์คนน้อย ถนนโล่ง เวลาเดินเลยรู้สึกว่ามันไกล คือคิดว่าเมื่อวานเดินมาไม่ไกลขนาดนี้นี่นา 555+ โธ่! นึกว่าจำได้แล้วนะเนี่ย
     เช้าวันนี้คนต่อแถวหน้าร้านโจ๊กยาวมาก ผมเลยเดินสำรวจในซอยนั้นอีกนิด จนไปเจอร้านอาหารอยู่ท้ายซอย มีรูปอาหารให้ดูชัดเจน ทั้งเมนูข้าวและอุด้ง เราเลยเปลี่ยนมากินร้านนี้แทน
     ร้านค่อนข้างกว้าง ติดแอร์ มีห้องน้ำแยกชาย-หญิงด้านใน เมนูมีรูปและภาษาอังกฤษให้อ่าน มีโปรโมชั่นตอนเช้าสั่งอาหารพร้อมเครื่องดื่ม จะได้เครื่องดื่มในราคาพิเศษคุ้มมาก
จานใหญ่อิ่มมาก

สั่งข้าวกันทุกคน หลังจากที่กินแต่โจ๊กกับบะหมี่มาหลายมื้อ
     ลูกค้าในร้านน่าจะเป็นคนในพื้นที่ ไม่ใช่นักท่องเที่ยว เพราะเค้าคุยกันรู้เรื่อง
     ผมใช้เรื่องการคุยด้วยภาษาเดียวกันเป็นตัวแบ่ง เพราะหน้าตาเอเชียเหมือนๆ กันแยกไม่ออก (ผมก็เชื้อสายจีน) ต้องฟังตอนพูด ถึงจะรู้ว่าพูดคนละภาษา จีนเองก็มีหลายแบบมาก หลักๆ ผมอยากรู้ว่าคนในพื้นที่ กับนักท่องเที่ยวใช้ชีวิตแตกต่างกันอย่างไรบ้างนั่นเอง
     อย่างจุดที่เราไปเที่ยวมาก็จะเจอคนไทยเยอะมาก ร้านโจ๊ก Hung Lee Restaurant ก็แทบจะมีแต่ลูกค้าไทย เวลาที่ผมเข้าไปกิน แล้วคนฮ่องกงแถวๆ นี้เค้ากินอะไรละ พอเข้ามากินร้านนี้ก็ได้รู้

     เรื่องนี้ทำให้เห็นพลังของการรีวิวเลยจริงๆ ทำไมนักรีวิวถึงถูกเรียกว่า Influencer (ผู้ที่มีอิทธิพลต่อความคิดและการตัดสินใจของผู้อ่านหรือผู้ชม) อย่างผมก็หาข้อมูลเรื่องเที่ยว เรื่องกิน ในฮ่องกง มาจาก 2 เว็บไซต์หลักๆ ที่ผมแปะลิงก์ไว้นั่นแหละ มันก็คล้ายๆ เราไปเที่ยวตามความคิดและมุมมองของเค้า แต่ถ้าเราอยากรู้จักเมืองนั้นๆ เพิ่มขึ้น เราก็ต้องสร้างเส้นทางขึ้นมาเอง ไปทำความรู้จักและค่อยๆ เรียนรู้จนเกิดมุมมองแบบของเราขึ้นมา ซึ่งไม่เหมือนกัน และจะเกิดมิติเพิ่มมากขึ้น เมื่อได้นำมาแชร์ร่วมกันอีกที (แนะนำให้ดูหนังเรื่อง Being John Malkovich ปีคศ.1999 http://www.imdb.com/title/tt0120601/?ref_=nv_sr_1)

      ในทริปนี้ผมไม่ได้ถ่ายรูปเลย เนื่องจากภาระที่ต้องดูแลทีมค่อนข้างเยอะ แต่อีกส่วนนึงผมก็อยากเห็นฮ่องกงในมุมมองของสมาชิกในทีม ซึ่งต้องต่างจากผมแน่ๆ และก็ไม่ผิดหวัง ดูได้จากรูปในบทความชุดนี้ ทุกคนถ่ายรูปได้น่าสนใจมาก ตอนที่เอารูปจากโทรศัพท์มือถือของทุกคนมารวมกัน แล้วผมค่อยๆ แยกออกมาเป็นวัน และสถานที่ ทำให้ผมได้เห็นมุมมองแบบที่ผมไม่เห็นตอนอยู่ตรงนั้น (แต่รูปทั้งหมดก็ถูกเลือกโดยมุมมองของผมอีกทีละนะ ความหลากหลายเลยลดลงไปบ้าง ยังมีรูปที่สวยและน่าสนใจอีกมาก แต่กลัวจะเยอะเกินไป ถ้าเอาลงในบทความ)

     มื้อเช้านี้จัดเป็นมื้อที่อิ่มที่สุดมื้อนึงในทริปนี้เลย ซึ่งก็เหมาะมาก เพราะมื้อต่อไปเราไม่รู้ว่าจะได้กินอะไรยังไง คิวหลังจากนี้ต้องไปด้นสดกันหน้างานละ 555+
     ผมวางไว้แค่ว่าจะนั่งเรือข้ามไปมาเก๊า ส่วนจะไปเที่ยวได้ตามที่หวังมั้ย จะรู้ก็ต่อเมื่อเดินทางแล้วเท่านั้น

     ผมเดินทางตามรีวิวนี้แหละครับ http://www.hongkongpackage.net/board/index.php?topic=56.0 
     จากร้านอาหารที่เรากิน ต้องเดินเท้าไปอีกพอสมควร แต่ก็เดินเพลินๆ ผ่าน Kowloon Park (http://www.lcsd.gov.hk/en/parks/kp/layout.html) ที่ตั้งใจว่าจะมาเที่ยววันพรุ่งนี้ 
     พอเดินมาถึงอาคาร China Hong Kong City ก็มีป้ายบอกทางไปท่าเรือ Star Ferry Pier เดินเข้าไปจะเจอช่องซื้อตั๋วมากมาย ผมเลือกของ Turbo Jet (http://www.turbojet.com.hk/en/
     เรามาถึงที่นี่ประมาณสิบโมงนิดๆ แต่ตั๋วเที่ยวต่อไปที่มีคือ 12.00 น. ไม่งั้นก็ต้องซื้อตั๋ว VIP ซึ่งแพงกว่าเยอะ ตั๋วธรรมดาก็เที่ยวละแปดร้อยกว่าบาทละ เราก็เลยซื้อตั๋วขาไปรอบ 12.00 น. แต่ตั๋วขากลับนี่เหลือให้เลือกแค่ 2 รอบคือ 18.35 น. กับ 22.30 น. (คำแนะนำคือให้จองตั๋วออนไลน์มาเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอแบบผม)
     ใจจริงอยากซื้อรอบ 22.30 น. จะได้มีเวลาเที่ยวเยอะๆ แต่ก็กลัวจะดึกไปสำหรับผู้ใหญ่ เลยตัดสินใจซื้อรอบ 18.35 น. ซึ่งถือเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างนึงของทริปนี้เลย...เฮ้อ!
หน้าตาของช่องขายตั๋ว

รายละเอียดชั้นต่างๆ ขาไปชั้น 1/F ขากลับชั้น 2/F
     ซื้อตั๋วแล้วก็นั่งรออยู่แถวๆ นั้นแหละครับ หนึ่งชั่วโมงครึ่ง และใช้เวลานั่งเรือจากเกาลูนไปมาเก๊าอีกประมาณ หนึ่งชั่วโมง
     นี่แหละครับ เสียเวลาไปเปล่าๆ สองชั่วโมงครึ่ง ทางออกที่ดีคือ จองตั๋วออนไลน์มาก่อน หรือรีบมาซื้อตั๋วตั้งแต่เช้า แล้วค่อยหาข้าวกินแถวๆ นี้

     สำหรับการเดินทางนั้น ถือว่าเป็นการเดินทางระหว่างประเทศนะครับ ต้องเตรียมพาสปอร์ต และเขียนใบผ่านแดน ทั้งขาไป และขากลับ
     สกุลเงินใช้ HKD ได้ ไม่จำเป็นต้องแลกเป็น MOP ส่วนต่างนิดหน่อย เราขาดทุนไม่มาก
     ซิมโทรศัพท์ของฮ่องกงแบบที่ผมซื้อ ใช้ในมาเก๊าไม่ได้ ครั้งนี้ชาวคณะจึงต้องเกาะกลุ่มกัน แยกกันไม่ได้ เพราะถ้าหลงแล้วจบเลย

     พอถึงเวลาเดินทางเราก็ยื่นตั๋วให้เค้า ถ้าอยากนั่งด้วยกัน ก็รวบรวมแล้วยื่นให้ทีเดียวเลย เค้าจะเลือกที่นั่งให้ตอนนั้น เดินเข้าไปแล้วก็หาใบผ่านแดนมาเขียน รอยื่นพร้อมพาสปอร์ต
ภายในเรือ
      ภายในเรือของ Turbo Jet สภาพค่อนข้างดี มีห้องน้ำด้านท้ายเรือ 4 ห้อง มีเครื่องดื่มและมาม่าคัพขายบนเรือ มีวิดีโอท่องเที่ยวมาเก๊าเปิดให้ดูทำสวยดี ดูไป หลับไป สักพักก็มาถึง
ท่าเรือมาเก๊า
     วิธีเดินทางจากท่าเรือไปยังจุดท่องเที่ยวต่างๆ ในมาเก๊าดูได้ตามนี้เลยครับ (http://www.hongkongpackage.net/board/index.php?topic=820.0)
     ในท่าเรือจะมีคนมาขายทัวร์พาเที่ยวมาเก๊า เราก็พยายามเลี่ยงๆ ไว้นะครับ เว้นแต่ว่าจะอยากใช้บริการ เค้าถามว่าผมจะเดินทางยังไง ไปแท๊กซี่แพงนะ ผมนี่คิดในใจว่าจะนั่งรถฟรีของโรงแรม แต่ก็ไม่กล้าตอบออกไป -_-"

     รถ Shuttle bus ของ The Venetian มีรอบถี่สุด และเราตั้งใจจะไปดูคาสิโนที่นี่อยู่แล้ว เลยลงอุโมงค์ข้ามไป แต่ถ้าจะไปโรงแรม Grand Lisboa หรือ Wynn ไม่ต้องลงอุโมงค์ข้ามไปนะครับ เดินออกประตูมาเลี้ยวซ้ายไปสัก 10 เมตรก็ถึงท่ารถละ มีพนักงานสาวสวยคอยถือป้ายบอกอยู่ สะดวกมากๆ
รถของ The Venetian หน้าตาแบบนี้ แต่ที่ผมนั่งไปเป็นสีอื่น สงสัยเป็นรถเสริม
นั่งรถข้ามสะพานยาวๆ

ตึกที่เหมือนใบไม้นั้นคือ Grand Lisboa


ถึง The Venetian ละ

ลานจอดรถ    
ภายใน The Venetian

โซนคาสิโน

ขึ้นไปชั้นอื่นๆ

โซนทานอาหาร
     หลังจากเที่ยวชมคาสิโนแล้ว เราก็ทานอาหารในนี้ ราคาค่อนข้างแพง ยังดีว่ารถชาติไม่แย่ กินข้าวเสร็จก็เดินเที่ยวชมภายใน The Venetian


บริการเรือกอนโดลา

คนพายจะร้องเพลงและเล่นดนตรีไปเรื่อยๆ

     เที่ยวชมจนพอใจแล้วก็ออกมาขึ้นรถไปที่ท่าเรือตอนขามา ออกมาขึ้นรถทางฝั่ง West Lobby
เดินออกมาจากจุดนี้ก็จะเจอท่ารถ
     นั่งรถ Shuttle Bus ฟรีของโรงแรมไปลงที่ท่าเรือ ยังเหลือเวลาอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาเดินทางกลับตอน 18.35 น. ก็คุยกันว่าจะไปเที่ยว Senado Square ต่อมั้ย ใจผมนั้นอยากไป แต่นั่งรถไปลงแล้วต้องเดินเท้าอีกพอสมควร ทั้งไปและกลับ ในทีมเรามีผู้ใหญ่ 2 ท่านที่ไม่สะดวกจะเดินแบบเร่งรีบไกลๆ
     ผมตัดสินใจเรื่องนี้อยู่นานเพราะเสียดายอุตส่าห์นั่งเรือข้ามมามาเก๊าแล้ว ได้มาแค่ The Venetian นี่ไม่คุ้มเลย โซน Senado Square กับซากโบสถ์ St. Paul's ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวหลักของมาเก๊าเราก็ไม่ได้ไป (ผมกับแฟนเคยไปแล้วเมื่อ 4 ปีก่อน) ถ้ากลับตอน 22.35 น. นี่ไม่ต้องห่วงเลย มีเวลาพอแน่ๆ แถมยังได้ชมแสงไฟตอนกลางคืนของโรงแรมต่างๆ อีก...เสียดายจริงๆ
     สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าไม่ไป เพราะผมกลัวกลับมาไม่ทันเรือ พวกเราก็เลยเดินเล่น นั่งเล่นกันอยู่ที่ท่าเรือนั่นแหละ
     ชั้น 3 ของท่าเรือเป็นร้านอาหารและของฝาก ชั้น 2 เป็นโซนขายตั๋ว และช่องผู้โดยสารขาออก
ส่วนชั้น 1 เป็นช่องของผู้โดยสารขาเข้า

     ใกล้ถึงเวลาเดินทางก็เข้าไปนั่งรอ
เรือหน้าตาแบบนี้แหละ

เริ่มมีแสงไฟแล้ว ดึกๆ น่าจะสวย
     ขึ้นเรือนั่งกลับอย่างจ๋อยๆ ...เสียดายเวลาและค่าเดินทาง

     พอมาหาข้อมูลตอนนั่งเขียนบทความนี้ ก็พบทางเลือกใหม่ คือจริงๆ ถ้าอยากดูคาสิโน ไม่ต้องไป The Venetian ก็ได้ ไปที่ Grand Lisboa ที่เดียวเลย ใกล้กว่า และยังใกล้ Senado Square น่าจะไปเที่ยวได้ทัน แต่ตอนนั้นผมไม่ได้หาข้อมูลไป ก็รู้จักแต่ The Venetian ที่เดียวเพราะเคยไปแล้ว และเห็นว่าเจ้าของเดียวกับที่ลาสเวกัส น่าจะเจ๋งสุดละ แต่ Grand Lisboa เป็นของจีน ก็จะตกแต่งวิจิตรแบบหนังจีนกำลังภายในหน่อย คือแวววาวระยิบระยับ ประมาณนั้น

     แต่ก็นั่นแหละครับ เป็นบทเรียนสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมกว่านี้ เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจ

     กลับมาฝั่งเกาลูนแล้วผมยังคาใจ รู้สึกเฟลในการนำทริปวันนี้ หลังจากส่งผู้ใหญ่ขึ้นที่พักแล้ว ผม แฟนและน้องสาวแฟนเลยไปเที่ยวมงก๊กกันต่อ

มงก๊กคนเยอะเหมือนเดิม
     ผมมาเดินดูที่พักเก่าที่เคยพักเมื่อ 4 ปีก่อนด้วย มงก๊กตอนกลางคืนยังคงคึกคัก ผมอยากไปหาดูถนนที่ขายรองเท้ากีฬาเยอะๆ ตามที่หาข้อมูลมาด้วย
เจอแล้วถนนที่มีร้านขายรองเท้ากีฬาเยอะ
     หลังจากเดินดูคร่าวๆ แล้ว มีร้านรองเท้ากีฬาเยอะจริงๆ แต่คุณภาพนี่อาจต้องดูดีๆ หน่อย บางคู่ก็ดูเหมือนของปลอม หลังจากเฟ้นหาร้านที่รองเท้าน่าจะเป็นของจริง และราคาไม่แพงแล้ว ก็มาเจอร้าน Reebok ตรงข้ามสวน Sai Yee Street Garden บนถนน Fa Yuen Street บางคู่ราคาถูกกว่าที่ Citygate Outlets แต่อาจไม่มี Size ให้เลือกมานัก สำหรับรุ่นที่เค้า Sale
     พอเจอแบบนี้เลยตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะพาพ่อมาดูดีกว่า เพราะพ่อผมถึงจะอายุ 69 ปีแล้วแต่แข็งแรงมาก วิ่งทุกวันวันละประมาณ 5 กม. ไม่รวมปั่นจักรยาน คือซื้อรองเท้าวิ่งไปนี่ใช้คุ้มมาก ส่วนผมเอาไว้ใส่เดินเฉยๆ -_-"


จันทร์ 7 พฤศจิกายน 2559

     เช้านี้เดินไปกินข้าวร้านเมื่อวานที่อยู่สุดซอย ทุกคนเห็นตรงกัน แสดงว่าเบื่อโจ๊กกับบะหมี่แล้วแน่นอน ที่จริงร้านนี้อร่อยและราคาไม่แพง เมนูก็หลากหลาย สั่งเป็นกับข้าวมากินกับข้าวเปล่าก็ได้ แฟนผมลองสั่งอุด้งทะเลรวมมากิน เครื่องเยอะมาก น่าจะขาดแค่ปะการังก็จะครบทะเลละ ฮ่องกงนี่อาหารทะเลสดและตัวใหญ่แทบทุกร้านที่ผมเจอ 

     แผนการในวันนี้เลยเปลี่ยนจากที่ตั้งใจจะไปเดินเล่นที่ Kowloon Park เป็นอย่างอื่น โดยแยกเป็น 2 ทีมตามนี้
     ทีมที่ 1 คือครอบครัวผม จะไปซื้อรองเท้าวิ่งที่มงก๊ก
     ทีมที่ 2 คือครอบครัวแฟนผม จะไปวัดแชกงหมิว (http://www.hongkongfanclub.com/index.php?topic=3172.0)

     ตัดสินใจแล้วเราก็แยกกันเดินทาง และนัดมาเจอกันตอนเที่ยง (เราเช็คเอาท์แล้ว และฝากกระเป๋าไว้ในที่พัก เค้าบริการดีเลย)
     ผมก็พาพ่อไปซื้อรองเท้าที่เล็งไว้เมื่อคืน โชคดีมีเบอร์ที่พ่อใส่ได้ คิดราคาเป็นเงินไทยประมาณ 1,640 บาท ผมกลับมาดูในห้างฯ ที่เชียงใหม่ คู่ละ 3,900 บาท สงสัยจะเป็นรุ่นใหม่จริง เสร็จแล้วผมก็โทรหาแฟน ปรากฏว่าแฟนผมขึ้นรถผิดสายเลยกลับมาที่เดิม...555+ เฮ้อ!

     ผมพาพ่อกับแม่มานั่งรอแถวที่พักตรงจิมซาจุ่ย แถวนี้เต็มไปด้วยห้างฯ และร้านกาแฟ แล้วผมก็พาครอบครัวแฟนไปที่วัดแชกงหมิว ผมก็ไม่เคยไปหรอก แต่ดูจากข้อมูลแล้วน่าจะไปไม่ยาก
     จากสถานี MTR Tsim Sha Tsui เราต้องเดินไปที่สถานี East Tsim Sha Tsui ซึ่งก็ไกลเหมือนกัน แฟนผมพลาดตรงนี้แหละ เพราะไม่ได้เดินมาขึ้นที่สถานี East Tsim Sha Tsui เราต้องขึ้นสถานีนี้เพื่อจะต่อไปยังสายสีฟ้า ไปสถานี Tai Wai
     ระหว่างที่อยู่ในรถ MTR ผมกับแฟนก็ยืนดูป้ายผังบอกเส้นทางในรถ สายนี้มีวิ่งไปถึงเซนเจิ้น ประเทศจีนเลย น่าลองไปเหมือนกัน ระหว่างที่ดูไปคุยไปนั่นเอง ผู้โดยสารที่นั่งในรถคนนึง เป็นคุณพี่ผู้หญิง ก็ถามว่าเราจะไปไหน เป็นภาษาไทย พอเราบอกชื่อวัดไป เค้าก็บอกให้เราลงที่สถานี Tai Wai เค้าคงเป็นห่วงกลัวพวกผมจะหลงทาง ผมก็ถามว่าทำไมเค้าพูดภาษาไทยได้ เค้าบอกว่าแม่เค้าเป็นคนไทย
     เจอคนที่พูดภาษาเดียวกันในต่างประเทศและเป็นคนท้องถิ่นนี่มันรู้สึกอบอุ่นจริงๆ แต่เค้าไปไม่เคยไปวัดนี้นะครับ เค้าหันไปถามคนในรถก็เหมือนจะไม่เคยไป สรุปว่าคนฮ่องกงเอง เค้าไม่เคยไปแฮะ

     พอผมไปถึงวัดแชกงหมิว ก็พอเข้าใจ เพราะนักท่องเที่ยวที่ผมเจอในวัดเป็นคนไทยเกือบทั้งหมดเลย น่าจะมาตามรีวิวอีกเช่นกัน ^_^
วัดแชกงหมิว


     ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่ด้านนอก เจอคนไทยกลุ่มหนึ่งเป็นผู้หญิงล้วน 3 วัย คุณย่า คุณแม่ และคุณลูก กับเพื่อนคุณแม่ มาเที่ยวกันเอง สุดยอดเลยครับ ผมเป็นผู้ชายมาเที่ยวเองยังมีหวั่นๆ แต่นี่หญิงล้วน รูปร่างหน้าตาดีกันด้วย มาเที่ยวกันเอง เปิด Google Maps ดู เก่งมากๆ

    เสร็จภาระกิจแล้วเราก็รีบกลับไปเอากระเป๋าแล้วขึ้นรถบัส A21 ไปสนามบิน (ระหว่างทางผมก็มีหลงเหมือนกัน 555+)
     จุดขึ้นรถบัส A21 อยู่ฝั่งตรงข้ามที่พักบนถนนนาธาน นี่เอง สะดวกดีแท้ รอไม่นานรถก็มา ตอนเที่ยงเราไม่ได้กินข้าว อาศัยซื้อขนมปังกินแทน กลัวจะไปไม่ทัน เพราะไม่รู้ว่ารถบัส A21 ใช้เวลาเท่าไรกว่าจะไปถึงสนามบิน
      ปรากฏว่านั่งจริงๆ รถวิ่งฉิวเลย ติดช่วงมงก๊กนิดหน่อย นอกนั้นวิ่งยาวสบายๆ ทำเวลาดีมาก ผมต้องไปลง Terminal 2 เพราะสายการบิน HK Express ต้องไปเช็คอินตรงนั้น (สายการบิน Air Asia ด้วย)

     เรามาถึงประมาณ 15.00 น. เครื่องออกตอน 17.35 น. คิดว่ามีเวลาเหลือๆ แต่ไม่ใช่นะ กว่าจะเช็คอิน แล้วเดินกลับไปที่ Terminal 1 ต้องต่อแถวผ่านจุดผ่านแดนก่อน เสร็จแล้วไปหาข้าวกิน กินเสร็จต้องลงมาชั้นล่างเพื่อนั่งรถไฟ (ภายในสนามบิน) ไปที่ Gate ที่เราจะขึ้นเครื่องอีก ใช้เวลานานพอสมควรเลย

     สนามบินฮ่องกงกว้างมาก ผมไม่เคยใช้บริการสนามบินสุวรรณภูมิแบบเต็มพื้นที่ เคยแค่ไปต่อเครื่องเฉยๆ เลยไม่รู้ว่าของเรากว้างเท่าที่ฮ่องกงมั้ย

     ประเด็นคือให้เผื่อเวลาไว้เยอะๆ เลยนะครับ อย่างน้อยสัก 2 ชั่วโมง ปกติผมบินในประเทศจะไม่ค่อยเผื่อเวลา คิดว่ายังไงก็ทัน แต่ที่ฮ่องกงนี่ทันแบบพอดีเลย ทั้งๆ ที่เผื่อเวลาไว้เยอะแล้ว

     ก็เป็นอันจบทริปฮ่องกงในครั้งนี้ เป็นคณะใหญ่สุดที่ผมนำละ เหนื่อยใช้ได้ หวังว่าชาวคณะมีความทรงจำดีๆ กลับไปบ้างก็คุ้มละ

  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น