วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2568

ค่างแว่นถิ่นใต้

 ค่างแว่นถิ่นใต้หนุ่มตัวหนึ่งกำลังตัดสินใจจะออกจากฝูง

มันนั่งมองหลังของค่างแว่นถิ่นใต้อีกตัวที่มีรอยแผลเป็นใหญ่กลางหลัง

หลายปีก่อนตอนที่มันยังเป็นเด็ก มันมักจะเล่นซนกับเพื่อน ๆ ในฝูง 

ปีนป่ายและวิ่งเล่นอยู่บนยอดไม้ เด็ดใบไม้และเมล็ดพืชกิน

ตกกลางคืนก็กลับมานอนกับแม่บนยอดไม้ต้นประจำ

เป็นชีวิตที่มีความสุขและสนุกสนานตามประสาค่าง

แต่วันหนึ่งที่มันและเพื่อน ๆ ปีนยอดไม้เล่นกันตามปกติ

เสือดาวตัวเต็มวัยก็ย่องเข้ามาที่ต้นไม้ที่มันและเพื่อน ๆ อยู่

พวกมันตกใจมาก จนไม่ได้ยินค่างแว่นถิ่นใต้ที่เป็นจ่าฝูงส่งเสียงร้องเตือน

ที่โคนต้นไม้เสือดาวทำท่าจะปีนขึ้นมาจับค่างบนต้นไม้กิน

มันและเพื่อน ๆ ยิ่งตกใจจนสติกระเจิง

เพื่อนมันถึงกับกระโดดลงมาจากต้นไม้

จึงเข้าทางเสือดาวที่หลอกว่าจะปีนขึ้นไปจับ เพื่อให้ค่างกระโดดลงมา แล้วคอยตะครุบที่ด้านล่าง

มันเห็นเพื่อนจะโดนเสือดาวจับจึงรีบเข้าไปช่วยผลักเพื่อนมันออกไป

เพื่อนมันกระเด็นไปไม่ไกลแต่ก็รีบปีนขึ้นต้นไม้หนี

ส่วนตัวมันล้มลงอยู่หน้าเสือดาวที่จะเข้ามาขย้ำ

มันเห็นว่าคงไม่รอดแล้วก็หลับตายอมรับชะตากรรม

หลังจากนั้นมันได้ยินเสียงของแข็งเฉือนผ่านเนื้อ แล้วตัวมันก็ลอยขึ้นไป 

มีเสียงของเสือดาวร้องคำรามอยู่ไกล ๆ

พอมันลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตัวเองอยู่บนยอดไม้

ในอ้อมกอดของค่างแว่นถิ่นใต้ที่เป็นจ่าฝูง

ค่างฯ จ่าฝูงถามว่ามันบาดเจ็บตรงไหนมั้ย

มันสำรวจดูตัวเองไม่พบร่องรอยบาดแผลใด ๆ 

แต่กลับเห็นเลือดกองใหญ่บนกิ่งไม้

พอมันไล่สายตาตามไปดูก็เห็นว่าเลือดนั่นไหลมาจากแผลที่กลางหลังของค่างฯ จ่าฝูง

เป็นรอยแผลที่เกิดจากกงเล็บของเสือดาว นี่คือที่มาของเสียงที่มันได้ยิน

มันหน้าซีดตัวสั่นไม่กล้ามองหน้าของค่างฯ จ่าฝูง

แต่ค่างฯ จ่าฝูงก็ปลอบมันว่าไม่เป็นไร แล้วอุ้มพามันไปหาแม่

หลังจากนั้นค่างฯ จ่าฝูงก็หลบไปพักรักษาตัว โดยมีสมาชิกในฝูงช่วยกันดูแล

โชคดีที่แผลไม่ลึกมากเพราะค่างฯ จ่าฝูงเอี้ยวตัวหลบได้ดี จึงโดนแค่ปลายกงเล็บของเสือดาว

มันที่เป็นต้นเหตุให้ค่างฯ จ่าฝูงบาดเจ็บก็เฝ้าอยู่ใกล้ ๆ 

จนค่างฯ จ่าฝูงเรียกมันเข้าไปหาแล้วบอกว่า

"ไม่ต้องเป็นห่วงนะ อะไรก็ตามที่ฆ่าเราไม่ตายจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น"

หลังจากนั้นค่างฯ จ่าฝูงก็ค่อย ๆ กลับมาเคลื่อนไหวและปีนต้นไม้ได้อย่างเคย

แต่มีความระแวดระวังมากขึ้น คอยดูแลฝูงเป็นอย่างดีจนไม่มีใครตกเป็นเหยื่อของเสือดาวเลย

ส่วนตัวมันเองจากค่างฯ น้อยในวันนั้นก็เรียนรู้และเติบโตขึ้น 

เป็นค่างฯ หนุ่มที่คล่องแคล่วและรัดกุมช่วยค่างฯ จ่าฝูงดูแลเพื่อน ๆ สมาชิกได้อย่างดี

โดยยึดเอาเหตุการณ์ในครั้งนั้นและคำสอนของค่างฯ จ่าฝูงไว้คอยเตือนใจอยู่เสมอ

เพื่อใช้ดูแลฝูงใหม่ที่มันจะออกไปดูแลหลังจากนี้


วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2567

กวางผาขี้กลัว

 ตอนเช้าตรู่ขณะที่แสงอาทิตย์ยังทาทับไม่ทั่วฟ้า 

มีกวางผาหนุ่มตัวหนึ่งกระโดดไปตามหน้าผาหินที่สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่า 2,000 เมตร

เป็นความชันที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดวิ่งขึ้นไปได้

แต่มันกระโดดขึ้นไปได้อย่างคล่องแคล่วจนมาถึงยอดสุดของหน้าผา

ณ ที่แห่งนี้นอกจากท้องฟ้า ก็ไม่มีสิ่งใดที่สูงกว่าจุดที่มันยืนอีกแล้ว

มันก้มมองวิวสุดสายตาเบื้องหน้า แล้วหวนนึกถึงช่วงเวลาในอดีต ที่มันไม่เคยคิดว่าจะได้มายืนตรงนี้

ในตอนเด็กมันเป็นกวางผาน้อยขี้กลัวที่มักโดนพ่อดุอยู่เป็นประจำ

มันที่เกิดมาเป็นกวางผาแต่กลับกลัวความสูง นับเป็นอุปสรรคที่ใหญ่มาก

ทุกครั้งที่มันต้องกระโดดไปบนหน้าผาหินที่สูงชัน มันทำได้แต่ยืนขาสั่นอยู่ตรงนั้น

ไม่ว่าจะทำอย่างไรมันก็ไม่สามารถกระโดดขึ้นไปอีกได้

พ่อมันใช้ทุกวิธีในการสอน ทั้งไม่อ่อนไม้แข็ง แต่ก็ไม่เป็นผล

มันได้แต่หลับตาแล้วตะโกนว่า "กลัว" ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น

จนทำให้พ่อมันสงสัยและกระโดดขึ้นไปหามัน

เพื่อจะถามว่าความกลัวอยู่ตรงไหน หน้าตาเป็นอย่างไร

พ่อมันมายืนข้าง ๆ มันด้วยความสงบ แต่มันก็ยังคงหลับตาปี๋

"ความกลัวมันเป็นยังไง" พ่อถาม

"ผมไม่รู้ แต่ผมกลัว" ลูกตอบ

"งั้นพอกลัวแล้วเป็นยังไง" พ่อถามต่อ

"ผมขยับไม่ได้"

"ทำไมขยับไม่ได้"

"ขามันสั่น"

"แล้วใจเป็นยังไง"

"ใจก็สั่น"

"ลมหายใจเป็นยังไง"

"หายใจไม่ค่อยออกครับ"

พ่อมันเอาหน้าผากมาแตะมัน

"ดีขึ้นมั้ย"

สัมผัสของพ่อทำให้มันมีสติและมองเห็นตัวเองมากขึ้น

"ครับ" มันตอบ

"หายใจเข้าออกช้า ๆ" พ่อพูดต่อด้วยน้ำเสียงหนักแน่นแต่อ่อนโยน

ลูกทำตามที่พ่อบอก จังหวะหายใจก็ค่อย ๆ ดีขึ้น

"ลองลืมตาดูสิ"

มันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาก็เห็นใบหน้าพ่อที่มองมันด้วยความห่วงใย ทำให้มันผ่อนคลายลง

"ลองดูสิว่าขายังสั่นอยู่มั้ย"

มันก้มมองดูขาตัวเองที่ไม่ค่อยสั่นแล้ว

"ตอนนี้ไม่สั่นแล้วครับ"

"ลองขยับขาดูสิ"

มันลองขยับขาตามที่พ่อบอกก็ขยับได้ดีขึ้น

พ่อให้มันมาดูกายใจเพื่อให้เห็นความกลัว

พอมันเห็นความกลัวก็หายไป

นี่เป็นครั้งแรกที่มันยืนบนหน้าผาแล้วกล้าลืมตามองรอบ ๆ 

มันเป็นวิวที่สวยงาม ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเลย

หลังจากวันนั้นมันก็ค่อย ๆ กระโดดตามพ่อขึ้นไปยังยอดภูเขาหินปูนลูกนี้ได้

จนถึงวันที่มันเป็นกวางผาหนุ่มมันจึงแยกออกมาอยู่ตามลำพัง

และทุกครั้งที่มันขึ้นมามองวิวสุดสายตานี้ มันก็จะนึกถึงคำสอนของพ่อ

ซึ่งมันก็หวังว่าจะได้ส่งต่อคำสอนนี้ให้ลูกมันต่อไป

...แต่ตอนนี้ต้องหาแม่ของลูกให้ได้ก่อน

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2567

หิ่งห้อยคอยรัก

 หิ่งห้อยเอ็ม เกาะอยู่ที่ใบไม้ พยายามเปล่งแสงออกมาจากส่วนท้องด้านล่าง แต่ก็ไม่มีแสงออกมา

มันทำอย่างนั้นอยู่นานเป็นชั่วโมงก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

นี่เป็นวันแรกที่มันออกมาจากดักแด้ และอาจเป็นวันสุดท้ายสำหรับมัน

เพราะหิ่งห้อยที่ไม่สามารถส่องแสงออกมาได้ก็จะไม่มีคู่ผสมพันธุ์ และต้องตายอย่างโดดเดี่ยว

สุดท้ายมันตัดสินใจบินลงมาที่ริมหนองน้ำแล้วค่อย ๆ เดินไปที่น้ำ

ในขณะเดียวกันนั้นเองที่ หิ่งห้อยเอ บินผ่านมาเห็น จึงรีบบินเข้าไปหามัน

ถามไถ่จนได้ความว่าหิ่งห้อยเอ็มเปล่งแสงออกมาไม่ได้จึงท้อใจ

หิ่งห้อยเอจึงบอกว่า

"พวกเราเป็นหนอนอยู่ในดินตั้งหลายเดือนกว่าจะมาเป็นหิ่งห้อยตัวเต็มวัยอย่างนี้

และเราก็มีอายุขัยเพียงแค่ 21 วัน  

นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาท้อแท้ แต่เป็นเวลาที่พวกเราควรเปล่งประกายที่สุด

เพื่อตามหารักแท้ครั้งเดียวในชีวิตของเรา"

หิ่งห้อยเอ็มได้ฟังถึงกับน้ำตาคลอ

หลังจากนั้นหิ่งห้อยเอก็พยายามให้กำลังใจ พูดปลุกเร้าต่าง ๆ นานา

จนหิ่งห้อยเอ็มมีใจจะลองเปล่งแสงอีกครั้ง

หิ่งห้อยเออธิบายให้หิ่งห้อยเอ็มฟังว่า

"การเปล่งแสงนั้นสัมพันธ์กับลมหายใจ

จงหาลมหายใจให้เจอ แล้วอยู่กับลมหายใจ จนเป็นหนึ่งเดียวกัน

เมื่อนั้นแสงจะเปล่งออกมา"

หิ่งห้อยเอ็มพยายามหายใจเข้าออกอยู่นาน

จนเริ่มเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ

ในที่สุดก็มีแสงส่องออกมาจากท้องของมัน

มันดีใจมากบินตีลังกาเป็นลายกนกอยู่สามรอบ

ก่อนจะร่อนลงมาจอดอยู่หน้าหิ่งห้อยเอ

หิ่งห้อยเอพูดกับมันว่า

"ดีมาก คราวนี้สิ่งที่ยากกว่าคือการเปล่งแสงกะพริบเป็นจังหวะ

เพราะจังหวะกะพริบของแสงที่หิ่งห้อยเปล่งออกมา เป็นภาษาที่หิ่งห้อยแต่ละชนิดใช้ตามหาคู่รัก

เราจะตามหารักแท้ของเราเจอมั้ย ก็อยู่ที่ว่าจังหวะของเราตรงกันรึเปล่า"

หิ่งห้อยเอ็มทดลองกระพริบแสงเป็นจังหวะต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่ใช่

บางจังหวะก็เป็นคำด่า บางจังหวะก็ก้าวร้าวดุดันไป

หิ่งห้อยเอจึงบอกว่า

"ให้ลองนึกถึงภาพความรักที่เราต้องการแล้วค่อยกะพริบแสง"

คราวนี้แสงที่มันกะพริบเป็นคำที่อ่อนหวานน่ารักแบ้ว ๆ

ไม่นานก็มีหิ่งห้อยสาวน้อยกะพริบแสงตอบกลับมาในจังหวะที่ช้ากว่านิดนึง

เป็นความหมายว่าตกลงปลงใจกันไปสร้างครอบครัวเล็ก ๆ วางไข่สัก 150 ฟอง

แล้วทั้งสองตัวก็บินเคียงคู่กันเข้าไปในความมืด

ส่วนหิ่งห้อยเอก็คอยดูแลเพื่อน ๆ น้อง ๆ ให้หาคู่กันได้จนหมด แล้วจึงบินไปหาหิ่งห้อยสาวที่นัดกันไว้ตั้งแต่แรก

เพราะทันทีที่มันกะพริบแสงหาคู่สำเร็จ มันก็บอกหิ่งห้อยสาวว่าจะช่วยเพื่อน ๆ น้อง ๆ หาคู่ให้หมดก่อน

แล้วถึงจะไปสร้างครอบครัวกับหิ่งห้อยสาว และหิ่งห้อยสาวก็ตอบตกลง

มันดีใจและเข้าใจในตอนนั้นเองว่า

ความรักที่มีจังหวะตรงกัน เป็นความรักที่ประกอบด้วยความเข้าใจ และอบอุ่นหัวใจเช่นนี้เอง

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2567

วาฬ 52Hz

 ณ จุดบรรจบของผืนฟ้าและมหาสมุทร มี "วาฬสีน้ำเงิน" ตัวหนึ่งล่องลอยอยู่ใต้ผิวน้ำนั้น

มันเป็นวาฬที่ส่งคลื่นเสียงที่สูงเกินกว่าวาฬตัวอื่นจะได้ยิน เลยไม่มีเสียงตอบรับจากวาฬตัวใดกลับมา ทำให้มันต้องว่ายน้ำเพียงลำพังมาเนิ่นนาน

นับตั้งแต่วันที่มันโตพอจะหากินได้ด้วยตัวเอง มันได้ออกหากินไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ จนพลัดหลงจากแม่ของมัน 

ทันทีที่มันรู้ตัว มันรีบว่ายตามหาแม่ของมันอย่างสุดชีวิต

ผ่านกลางวันและกลางคืนนับร้อยนับพันครั้ง

มันไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้ และไม่รู้ว่าแม่ของมันอยู่ตรงไหนเช่นกัน

ความโดดเดี่ยวท่ามกลางผืนน้ำสีน้ำเงินได้เข้าโอบล้อมมัน แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องว่ายน้ำต่อไป

จากความกลัวกลายเป็นความเคยชิน

จากความโดดเดี่ยวกลายเป็นความธรรมดา

มันเริ่มรับรู้ได้ถึงความอุ่นและเย็นของกระแสน้ำ

ได้พบเจอสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ รอบตัว ผ่านการล่องลอยที่เนิบช้า

เวลาที่ผันผ่านกลับกลายเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของมันที่ไม่เคยจากไปไหน

เพราะความกลัวเมื่อถึงที่สุดก็จะจากมันไป

ไม่ต่างกับความเหงาพอถึงที่สุดก็จากมันไปเช่นกัน

เหลือเพียงเวลาในลมหายใจที่ยังคงอยู่เป็นเพื่อนมันเสมอ

ทำให้มันไม่รู้สึกกลัวอีกแล้ว และไม่เหงาอีกเลย

เพียงแค่เลื่อนไหลไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา และอยู่กับความธรรมดาของทุกวันอย่างอิ่มเอม

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2567

ความกล้าหาญของนกกระจอก

 นกเอ็กซ์ และ นกวาย ทำรังอยู่บนต้นไม้คนละต้นใกล้ ๆ กัน 

ซึ่งในบริเวณนั้นมีหญ้าแห้งไม่มากนัก ทำให้ทั้งสองตัวต้องแย่งหญ้าแห้งเพื่อมาทำรัง จนทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง

แม้พอทำรังเสร็จแล้ว นกทั้งสองตัวก็ยังจีบนกสาวตัวเดียวกันอีก

สุดท้าย นกวาย ก็ได้ใจนกสาวจนครองคู่กันอยู่ในรัง

ส่วน นกเอ็กซ์ ทั้งเจ็บใจและต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวในฤดูกาลนี้

นกสาวออกไข่มาจนฟักเป็นลูกนกได้สองตัว 

ทำให้นกวายและนกสาวต้องผลัดกันหาอาหารมาป้อนลูกทั้งสองตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก

ส่วนนกเอ็กซ์ที่หาเลี้ยงตัวเองตัวเดียวจึงไม่ลำบากนัก เวลาว่างก็มักจะนอนดูครอบครัวนกวายเป็นการฆ่าเวลา

จนวันหนึ่งทั้งนกวายและนกสาวต่างออกไปหาอาหาร ทิ้งให้ลูกนกอยู่ในรังโดยไม่มีใครดูแล

และตอนนั้นเอง นกเอ็กซ์ก็มองเห็นงูเขียวเลื้อยขึ้นมาที่รังเพื่อจะกินลูกนก

นกเอ็กซ์ร้องสุดเสียงและบินสุดแรงพุ่งตรงไปยังงูเขียวอย่างไม่ลังเล

ลูกนกทั้งสองหวาดกลัวสุดขีดขดตัวอยู่ที่พื้นรัง

งูเขียวอ้าปากกว้างเห็นเขี้ยวแหลมคมที่เตรียมเข้างับลูกนก

แต่นกเอ็กซ์พุ่งเข้าถึงงูเขียวก่อน ชนงูเขียวจนต้องผงะออกไป

เมื่อตั้งหลักได้นกเอ็กซ์ใช้ตัวเองยืนบังลูกนกทั้งสองตัวไว้อย่างแน่วแน่

งูเขียวจ้องเขม็ง ส่งเสียงขู่ ก่อนจะฉกไปที่นกเอ็กซ์

นกเอ็กซ์ตัดสินใจพุ่งเข้าจิกงูเขียวที่ลำคอ

งูเขียวกัดเข้าที่ปีกซ้ายของนกเอ็กซ์และเลื้อยเข้ามารัดตัวนกเอ็กซ์

นกเอ็กซ์ดิ้นและสู้สุดแรง จิกเข้าไปที่คอของงูเขียวอย่างไม่ลดละ

แต่ก็ไม่อาจสู้แรงรัดของงูเขียวได้ จนค่อย ๆ หมดสติลง

และในจังหวะนั้นเองที่นกวายกลับมาที่รัง จึงพุ่งเข้าไปจิกที่ดวงตาของงูเขียว

ทำให้งูเขียวดิ้นพล่านด้วยความเจ็บปวด จนปล่อยให้นกเอ็กซ์หลุดออกมาได้

นกวายยังตามจิกงูเขียวอย่างต่อเนื่อง และนกสาวก็ตามมาช่วยจิกงูเขียวด้วยอีกแรง

จนงูเขียวพลัดตกจากกิ่งไม้หล่นลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นดิน

นกวายรีบเข้ามาดูอาการของนกเอ็กซ์

ส่วนนกสาวรีบเข้าไปปลอบลูกทั้งสองตัว

เมื่อเห็นว่านกเอ็กซ์ยังมีลมหายใจ ก็ทำให้นกวายโล่งใจ

หลังจากเหตุการณ์นั้นนกวายและนกสาวก็ช่วยกันหาอาหารมาป้อนนกเอ็กซ์ที่ไม่สามารถบินได้อีกแล้ว

กระทั่งถึงเวลาที่ลูกทั้งสองตัวของนกวายและนกสาวโตพอที่จะบินออกไปหาอาหารเองได้

นกวายและนกสาวก็ยังคงดูแลนกเอ็กซ์เป็นอย่างดีเพื่อตอบแทนน้ำใจอันหาญกล้าของนกเอ็กซ์ที่ช่วยปกป้องลูก ๆ ของพวกมันไว้