วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

"ของขวัญ"

วันก่อนได้ไปดู “ของขวัญ” หนังสั้น 4 เรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในหลวงรัชกาลที่ 9
ก่อนดูก็ตั้งใจว่าดูจบแล้วจะมาเขียนรีวิว แต่เพราะรู้สึกแย่กับเรื่อง "ดอกไม้ในกองขยะ" ซึ่งฉายเป็นเรื่องแรก ก็เลยไม่ได้เขียน (แต่อีก 3 เรื่องที่เหลือนี่ดีเลย)
คือรู้สึกว่า พี่อุ๋ยจะทำหนังเรื่องนี้มาทำไมเนี่ย จนต้องมาหาข้อมูลอ่านเพิ่มเพราะอยากรู้เจตนาของพี่เค้า
(***บทความจะวิเคราะห์เนื้อหาสำคัญของหนัง***)


พอลองวิเคราะห์ดูแล้วก็คิดว่าบทหนังดอกไม้ในกองขยะ ที่จะใช้ถ่ายทำน่าจะเป็นบทที่ดี
เพราะประเด็นที่หนังพยายามจะสื่อก็สะท้อนปัญหาสังคม และค่านิยมทางวัตถุในยุคปัจจุบัน
แต่เพราะการนำเสนอที่ไม่แม่นยำ เลยทำให้ตัวหนังไม่สามารถส่งสาร (message) สำคัญออกมาได้

จากที่อ่านบทสัมภาษณ์ของพี่อุ๋ย คิดว่าบทหนังน่าจะแทนความหมายลูกทั้ง 2 คนในตอนท้ายว่าเป็นขยะ (สังคม) ด้วย
โดยแทนค่าพ่อเป็นคนเก็บขยะที่ต้องอยู่กับสิ่งที่ผู้คนทิ้งขว้างและรังเกียจ
และพ่อคนนี้พร้อมจะอ้าแขนรับลูกทั้ง 2 คนเสมอไม่ว่าลูกจะไปทำสิ่งที่สกปรกและน่ารังเกียจเพียงใดก็ตาม

ถ้าเป็นตามนี้จริง หนังก็บกพร่องทั้งเส้นเรื่องและมิติของตัวละคร
แต่ถ้าไม่เป็นตามนี้ ก็ไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้จะสื่อสารอะไร
-------------------------------
ต่อไปมาพูดถึงหนังสั้น 3 เรื่องที่เหลือดีกว่า

เรื่องที่สอง "เมฆฝนบนป่าเหนือ" โดยมะเดี่ยว ผู้กำกับฝีมือดีคนนึงของบ้านเรา โดยเฉพาะทักษะการเขียนบท
และผมก็ไม่ผิดหวัง (หลังจากมึนตึ๊บกับเรื่องแรก) หนังมีการเล่าเรื่องที่เรียบง่าย แต่ก็คมคาย

main plot คือ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอุดมการณ์อยากจะฟื้นฟูผืนป่าต้นน้ำ พร้อมเพื่อนๆ นักศึกษาที่ไม่ค่อยมีอุดมการณ์นัก
อุปสรรค (obstacle) คือ ชาวเขาซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ต้องการใช้พื้นที่ปลูกข้าวโพดเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ
หลังจากทั้งสองฝ่ายปะทะกันด้วยความเชื่อทางฝั่งของตนไปเรื่อยๆ ฝั่งอุดมการณ์ของนักศึกษาก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงของชาวเขาได้
จนนำไปสู่จุดเปลี่ยน (turning point) ของพระเอกที่ต้องยอมแพ้กับสถานการณ์
จากนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ได้สอนบทเรียน (learn lesson) ให้กับพระเอกว่า
เรื่องพวกนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงง่ายๆ ขอให้รักษาเจตนาที่ดีนี้ไว้ วันนึงข้างหน้ายังมีโอกาสที่จะทำสิ่งดีๆ ได้อีก (จำได้คร่าวๆ นะครับ)
ตรงนี้ถือเป็น climax ของหนัง เพราะเป็นจุดที่พระเอกเปลี่ยนมุมมองต่อเรื่องราวนี้จากตอนต้นเรื่องที่ยึดมั่นอยู่แบบเดียว
และตอนจบหนังก็ได้ให้ทางออก (solution) ที่เป็นความหวังแก่พระเอก คือเด็กน้อยที่มาเล่นละครปลูกป่า ก็ได้เห็นคุณค่าของป่าแล้ว

หนังสั้นเรื่องนี้เอาไปถอดองค์ประกอบแล้วใช้สอนเขียนบทได้เลย ไม่ต้องเล่นท่ายาก ตามโครงสร้างเป๊ะๆ แต่ถ้าทำได้แม่นยำ
มันก็สัมฤทธิ์ผลเอง
ส่วน sub plot ความรักหนุ่มสาว ที่หนังใส่เข้ามาก็เป็นการเพิ่มรสชาติให้ถูกปากกลุ่มคนดูที่ ผกก. ต้องการ
----------------------------------
เรื่องที่สาม "สัจจะธรณี" โดยพี่โขม คนเขียนบทที่ผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับ เพราะฉะนั้นเรื่องบทวางใจได้
แต่บทเรื่องนี้จะต่างจากเรื่องที่สอง เพราะจะเล่นท่ายากขึ้น มีการซ้อนชั้น (layer) มากขึ้น
ต้องตั้งใจดู เพื่อจะเก็บรายละเอียดที่หนังให้ได้ครบถ้วน เพื่อไปพบคำเฉลยที่ตอนท้าย

หลักๆ คือหนังนำปัญหาการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ มาเป็นสถานการณ์ (setting) ที่ตัวละครหญิงสาว (character)
ต้องเผชิญกับการถูกระแวงสงสัยว่ามีพ่อเป็นผู้ก่อการร้าย จนทำให้หญิงสาวตั้งเป้าหมาย (goal) ที่จะรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงของตัวเอง
จนเกิดการกระทำ (action) เพื่อให้เป้าหมายสำเร็จ โดยการไปหายายที่กรุงเทพฯ ซึ่งต้องเผชิญกับอุปสรรค (obstacle) บ้าง
แต่สุดท้ายก็ได้คำตอบ (solution) บางอย่างกลับมา ทำให้หญิงสาวรู้ว่าจะมีชีวิตต่อไปอย่างไร

คำตอบที่ว่าก็คือ "ดิน" ที่พ่อหญิงสาวเก็บไว้ ซึ่งหนังใช้เป็นสัญลักษณ์ (symbolic) แทนสิ่งที่ไม่แบกแยก
ดินมันไม่เคยแบ่งใคร ดินดีก็คือดินดี ไอ้เส้นสมมติต่างๆ เราคิดขึ้นมาเองทั้งนั้น...อันนี้ตัวละครในหนังพูด ซึ่งก็คือใจความ (theme) ของหนัง

ในซีนรอยเท้าของพระองค์ที่ประทับอยู่บนดิน แล้วตัวละครค่อยๆ ไปโอบดินขึ้นมานี่ ดูแล้วน้ำตาซึมเลย

------------------------------------

เรื่องที่สี่ The Letter โดยพี่ปรัช
ซึ่งบอกตามตรงว่าผมไม่ได้คาดหวังเลย แต่กลับกลายเป็นเรื่องที่ผมประทับใจที่สุด

เป็นเรื่องของเด็กน้อยที่เขียนจดหมายถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 เพื่อแสดงความรู้สึกบางอย่างต่อพระองค์ท่าน...ทั้งเรื่องมีแค่นี้แหละครับ
พูดได้ว่าแทบไม่ต้องมีบทภาพยนตร์เลย แต่เล่าเรื่องได้สนุกและน่าติดตาม แทบไม่มีบทพูด เล่าเรื่องด้วยความเกินจริงแบบการ์ตูนนิดๆ

ซึ่งทั้งหมดนี้จะไม่มีทางดีได้เลย ถ้ามุมมองของผู้กำกับ (director's vision) ไม่แม่นยำจริงๆ
และการแสดงที่ยอดเยี่ยมของเด็กชายตัวน้อย

เหตุที่หนังต้องเล่าเรื่องแบบการ์ตูนนิดๆ เพราะต้องมีซีนแฟนตาซี เนื่องจากพระองค์ไม่ได้อยู่บนโลกแล้ว จดหมายที่เด็กชายและคนอื่นๆ เขียนถึงพระองค์
จึงต้องลอยขึ้นไปหาพระองค์บนท้องฟ้าในตอนจบ

เรื่องนี้ดูแล้วแก้มเปียกเลย...คนข้างๆ จามใส่...ไม่ใช่ละ!...ร้องไห้จริงๆ ทั้งๆ ที่หนังไม่ได้เศร้าสักนิด
แต่ดูแล้วตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่ามีจดหมายจากเด็กคนอื่นๆ ส่งมาด้วย
คือรู้สึกได้ถึงความรักและความคิดถึงที่ทุกๆ คนมีต่อพระองค์...มันเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
และหนังก็แทบไม่ต้องใช้คำพูดสักคำ เพื่อสื่อสารสิ่งนั้นออกมา

-------------------------------------

ที่เขียนมาซะยาวเพราะเชื่อว่าผู้สร้างหนังมีเจตนารมณ์ที่ดี และหวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ชมหนังมาแล้ว หรือกำลังจะไปชม
คิดว่าน่าจะยังมีรอบฉายอยู่บ้าง แม้ในวันที่พี่ธอร์กระหน่ำโรงหนังเช่นนี้

ด้านล่างเป็น link บทสัมภาษณ์ผู้กำกับทั้ง 4 คน
http://themomentum.co/gift-the-movie-flower
http://themomentum.co/gift-the-movie-rain-cloud
http://themomentum.co/gift-the-movie-soil
http://themomentum.co/gift-the-movie-the-letter

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น