วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

กลัว

(กลุ่มเป้าหมาย : เยาวชนอายุ 7-12 ปี)


     “พรืดดด พรืดดดด พรืดดด”
     เสียงท้องครูดไปกับดินลูกรังที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดเล็กๆ บนถนนในชนบทแห่งหนึ่ง เกิดเป็นร่องรอยบาดแผลบนตัวงูเขียวพระอินทร์ขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร ที่กำลังเลื้อยหนีเด็กผู้ชาย 3 คน ซึ่งถือไม้วิ่งไล่เจ้างูน้อยอย่างเมามัน


     “แฮ่กๆๆๆๆ” เจ้างูน้อยเลื้อยหนีสุดชีวิตจนเหนื่อยหอบ
     “โอ้ย” เจ้างูน้อยดิ้นพราดๆ เมื่อหินก้อนหนึ่งที่เด็กชายขว้างมาถูกเข้าที่ข้างลำตัว
     “โดนแล้วโว้ย” เด็กชายคนที่ขว้างหินตะโกนบอกเพื่อนๆ
     “งั้นใครจับไอ้งูนี่ได้ก่อนชนะ” เด็กชายอีกคนพูด แล้วรีบวิ่งเข้าไปจะจับงูเขียวฯ ตัวนั้น เพื่อนอีก 2 คนจึงรีบวิ่งตามไป
     เจ้างูน้อยยังเลื้อยหนีสุดแรงเกิด ด้วยร่างกายที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลเล็กๆ ของมัน เด็กชายทั้ง 3 คนยังคงวิ่งไล่ตามอย่างไม่ลดละ โชคดีที่แถวๆ นั้นมีบ้านคนอยู่ เจ้างูน้อยจึงรีบเลื้อยเข้าไปซ่อนตัว
     เด็กชายทั้ง 3 คนวิ่งมาหยุดอยู่หน้าบ้านหลังนั้น ได้แต่ยืนมองอยู่นอกรั้ว เพราะเจ้าของบ้านหลังนี้เป็นคนดุ และทั้ง 3 คนมักจะโดนด่าอยู่เป็นประจำ
     เมื่อเห็นว่าวันนี้คงไม่ได้เจ้างูน้อยมาเป็นของเล่นสนองความคะนองแล้ว เด็กทั้ง 3 คนเลยเดินกลับไปเก็บจักรยานที่จอดทิ้งไว้ แล้วปั่นกลับบ้านก่อนที่ฟ้าจะมืด เพราะกลางคืนของที่นี่ทำให้เด็กทั้ง 3 คนรู้สึกกลัว

     ดวงอาทิตย์เพิ่งลับทิวเขา ยังคงมีแสงโพล้เพล้พอให้เห็นเจ้างูน้อยที่เข้าไปขดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของเพิงเก็บฟืนไม้มืดๆ มันทั้งบาดเจ็บ เหนื่อยล้า และหวาดกลัว ขณะที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้น เจ้างูน้อยก็นึกถึงคำสอนของแม่ที่เคยบอกไว้ในวันแรกที่มันออกมาจากเปลือกไข่
     “จำเอาไว้ให้ดีนะลูกแม่ สิ่งที่อันตรายที่สุดสำหรับงูอย่างพวกเราก็คือมนุษย์ ถ้าพวกมนุษย์เห็นเราเค้าจะฆ่าเราทันที ไม่ว่าเราจะทำอันตรายให้เค้าหรือไม่ มันเป็นกรรมของพวกเราที่เกิดมามีรูปร่างที่พวกมนุษย์รังเกียจเช่นนี้ ทั้งๆ ที่เราช่วยรักษาสมดุลของระบบนิเวศน์ โดยการกำจัดหนู และสัตว์เล็กๆ เพื่อไม่ให้มีปริมาณมากเกินไป แต่ประโยชน์ของเราก็ไร้ค่าไปทันที ที่พวกเค้าเห็นตัวเรา”
     ตอนนั้นเจ้างูน้อยยังเล็กมาก จึงไม่เข้าใจสิ่งที่แม่บอกนัก
     จนในวันนี้ วันที่มันต้องย้ายถิ่นเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ มันจึงได้เข้าใจว่าการปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นนั้นหมายถึงความตายของชีวิตมัน
     เจ้างูน้อยเพียงแค่ต้องการข้ามจากพงหญ้าฝั่งหนึ่ง ไปยังอีกฝั่งเท่านั้น แต่นั่นทำให้มันต้องข้ามผ่านถนนดินลูกรังของหมู่บ้าน ซึ่งเป็นจังหวะที่เด็กชาย 3 คน ปั่นจักรยานมาเห็นพอดี
     เมื่อเด็กทั้ง 3 คนเห็นเจ้างูน้อย ก็รีบกระโดดลงจากจักรยาน คว้าหยิบเอาเศษไม้และก้อนหิน พร้อมกับวิ่งเข้าหาเจ้างูน้อยที่กำลังเลื้อยมาถึงกึ่งกลางถนนพอดี ด้วยความตกใจและหวาดกลัวทำให้เจ้างูน้อยลังเล ไม่แน่ใจว่าจะเลื้อยกลับหลัง หรือมุ่งไปข้างหน้าดี ที่สำคัญเด็กทั้ง 3 คนได้วิ่งเข้ามาใกล้แล้ว
     เจ้างูน้อยจึงตัดสินใจเลื้อยไปตามถนนเพราะคิดว่าน่าจะไปได้เร็วกว่าการวิ่งของเด็กๆ
ซึ่งก็จริง แต่มันคิดไม่ถึงว่าเด็กๆ จะขว้างก้อนหินได้แม่นยำขนาดนี้ เด็กทั้ง 3 คนถือไม้วิ่งไล่พร้อมกับขว้างหินใส่ จนเจ้างูน้อยแทบเอาชีวิตไม่รอด ดีที่มันเลื้อยมาถึงบ้านหลังนี้ก่อน

     นี่คือประสบการณ์เจอกับมนุษย์ครั้งแรกของเจ้างูน้อย
     “มนุษย์นี่ช่างน่ากลัว” เจ้างูน้อยคิดในใจ ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า

     แสงจางๆ ของเช้าวันใหม่แทรกตัวเข้ามาในเพิงเก็บฟืน พร้อมกับเสียงหมาเห่าดังลั่นจนทำให้เจ้างูน้อยสะดุ้งตื่น
     “โฮ่งๆๆๆๆ” หมาไทยขนเกรียนสีน้ำตาล ร่างกายกำยำ ยืนประจันหน้าเห่าเจ้างูน้อยอย่างตั้งใจ
     เจ้างูน้อยมองเจ้าหมาด้วยความตกใจ นี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดที่มันไม่เคยเจอ มันคิดว่าถึงจะน่ากลัวแต่คงไม่โหดร้ายเท่ามนุษย์ เมื่อตั้งสติได้ เจ้างูน้อยจึงเตรียมพร้อมจะเข้าต่อสู้ถ้าจำเป็น แม้จะรู้ตัวว่าคงสู้ไม่ได้ แต่มันก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิตของมันไว้ เพราะนี่คือสัญชาตญาณในการเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก

     ขณะที่หมาและงูจ้องหน้าดูเชิงกันอยู่ ประตูบ้านก็เปิดออก โดยมีคุณลุงผิวคล้ำร่างกายกำยำคนหนึ่งเดินออกมา
     “ไอ้แดง! เห่าอะไรของมึง” คุณลุงพูดกับหมาของแก พร้อมกับเดินเข้าไปหา
     เป็นจังหวะที่ดวงอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว แสงสว่างส่องเข้าไปทั่วทั้งบ้าน ทำให้คุณลุงมองเห็นเจ้างูน้อยได้ชัดเจน และเจ้างูน้อยก็มองเห็นคุณลุงได้ชัดเจนเช่นกัน
     คุณลุงตบหัวหมาของแกเบาๆ ให้มันเงียบ ไอ้แดงหยุดเห่าแต่มันยังคงกระตือรือร้นสนใจเจ้างูน้อยที่ขดตัวอยู่ คุณลุงมองเจ้างูน้อย เจ้างูน้อยก็จ้องมองคุณลุง
     ในใจของเจ้างูน้อยนั้นหวาดกลัวมากๆ จากสถานการณ์ตอนนี้จะให้หนีออกไปจากทั้งหมาและมนุษย์คู่นี้คงจะยาก เป็นอีกครั้งที่เจ้างูน้อยนึกถึงคำสอนของแม่
     “จำไว้ว่าอย่าให้มนุษย์เห็นตัวเรา ให้ซ่อนตัวไว้ ถ้าหนีได้ให้หนี แต่ถ้าหนีไม่ได้และจวนตัวจริงๆ ก็ให้สู้ก่อนที่จะถูกฆ่าตาย” นี่คือสิ่งที่แม่งูสอนไว้เมื่อมันยังเด็ก
     เจ้างูน้อยตัดสินใจครั้งสำคัญ... มันจะเสี่ยงชีวิตกับคุณลุง

ทั้งคุณลุงและเจ้างูน้อยจ้องมองกันอย่างระวังอยู่พักใหญ่ จากนั้นคุณลุงก็ถอดเสื้อกล้ามออกมา และโยนไปที่เจ้างูน้อยที่กำลังชูคอขึ้นเตรียมสู้ แล้วคุณลุงก็รีบคว้าจับคอของเจ้างูน้อยที่ถูกเสื้อคลุมไว้ เจ้างูน้อยดิ้นรนสุดแรง แต่ก็ไม่อาจหลุดไปจากกำมือของคุณลุงได้ มันนึกเสียใจที่ชีวิตของมันช่างสั้นนัก ไม่คิดว่าการข้ามฝั่งเพื่อหาแหล่งอาหารใหม่ จะกลายเป็นวาระสุดท้ายของมัน

คุณลุงจับเจ้างูน้อยใส่ลงไปในถุงกระสอบและมัดปากถุง
เจ้างูน้อยอยู่ในถุงกระสอบที่มืดมิด ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ทำงาน สักพักใหญ่ๆ ที่มันทำใจอยู่ในความมืดนั้น ปากถุงกระสอบก็เปิดออก แสงสว่างสาดเข้ามา และภาพที่มันเห็นตรงหน้าก็คือ พงหญ้าอีกฝั่งที่มันต้องการข้ามมาเมื่อวานนั่นเอง
เจ้างูน้อยรีบเลื้อยลงไปที่พงหญ้า เมื่อไปได้ไกลสักระยะมันจึงหันมองกลับมา เห็นคุณลุง หมาตัวนั้นและรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ คันหนึ่ง
“ทำไมมนุษย์คนนี้ถึงไม่ฆ่าเรา หรือว่ามนุษย์ก็ไม่ได้เป็นเหมือนกันทุกคน ...อย่าเพิ่งตัดสินกันเพียงสิ่งที่เห็น เพราะความจริงมันอาจไม่เป็นอย่างนั้น” เจ้างูน้อยคิดในใจก่อนจะเลื้อยหายไปในพงหญ้า

“โฮ่ง” ไอ้แดงเห่าขึ้นมา 1 ที ก่อนที่คุณลุงจะลูบหัวมันเบาๆ
“งูเขียวพระอินทร์มันมีพิษอ่อนๆ ถ้าถูกกัดก็แค่แสบๆ บวมๆ ไม่จำเป็นต้องไปฆ่ามันหรอก ให้มันมีชีวิตอยู่ของมัน เราก็อยู่ของเรา แค่นี้ก็ไม่เป็นไรละ” คุณลุงพูดกับไอ้แดง โดยมองไปยังทางที่เจ้างูน้อยเลื้อยหายไป
“ไปกินข้าวกันเถอะ” คุณลุงขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์แล้วกวักมือเรียกไอ้แดง มันก็รู้เรื่องรีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนเบาะมอเตอร์ไซค์ พร้อมให้คุณลุงขี่พามันกลับบ้าน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น