วันจันทร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2560

Die Tomorrow (2017)

ความประทับใจแรกหลังจากดูหนังเรื่อง Die Tomorrow (2017) คือ ไอเดียดี
การจะเล่าเรื่องความตายให้สะกิดใจคนได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย

หนังเอาข่าวความตาย (น่าจะแต่งขึ้น) มาต่อกันแล้วนำเสนอเหตุการณ์ก่อนวันตาย
หรือผลกระทบต่อคนที่ยังอยู่จากการตายนั้น สอดแทรกมุมมองต่อความตายหลายๆ แบบผ่านตัวละคร
โดยมีบทสัมภาษณ์เด็กประถมกับคุณปู่วัย 104 ปี เป็นอีกเส้นเรื่องที่เสนอมุมมองต่อความตาย


มีประโยคที่คุณปู่พูดว่า "มีคนข้างบนกำหนดความตายของเรา" เป็นแนวคิดที่ได้ยินกันมานาน แต่พอเป็นคนที่อยู่มา 104 ปีพูด มันก็ฟังดูมีน้ำหนัก

หนังจบด้วยข่าวและภาพการตายอย่างสงบในบ้านของคุณลุงคนนึง ...เป็นความตายที่เรียบง่าย
เช่นเดียวกับหนังทั้งเรื่องที่ดูเรียบง่าย แต่ก็รู้ได้ว่าผ่านการคิดและจัดวางมาอย่างดี

งานแบบนี้มันยากตรงความพอดี ที่จะให้มีความ popular ในความ minimal ซึ่งผลลัพธ์ก็ลงตัวดี
มีความแปลกใหม่ในการนำเสนอและเข้าถึงได้ง่าย

ในชีวิตจริงมีข่าวความตายแปลกๆ ให้ได้รับรู้อยู่เสมอ
หลายปีก่อนผมเคยได้ดูข่าวคนถูกรถบรรทุกชนตายขณะนั่งดูทีวีอยู่ในบ้าน
โดยที่บ้านมีลักษณะเป็นห้องแถวชั้นเดียวติดถนน อยู่ในเมืองไทยเรานี่เอง

หลังจากได้เห็นข่าวนี้ ผมก็ปล่อยวางเรื่องความตายได้อย่างสบายใจ
เพราะถ้านั่งดูทีวีอยู่ในบ้านยังถูกรถชนตายได้ อยู่ที่ไหนยังไงก็ตายได้ทั้งนั้นละ...ไม่ต้องวิตกไป

มันทำให้ผมคิดว่า "ความตาย" เกิดมาพร้อมกับ "ชีวิต" และทั้งคู่อยู่ในตัวเรามาตั้งแต่ต้น
เพียงแต่เมื่อ "ชีวิต" เริ่่มดำเนินไป "ความตาย" ก็เพียงเดินตามมาห่างๆ
จนวันหนึ่ง "ความตาย" ก็จะเดินมาทัน และตบบ่า "ชีวิต" เบาๆ พร้อมกับบอกว่า "ถึงตาเราแล้วว่ะ"

"ชีวิต" ก็ทำได้เพียงหันกลับไปมอง "ความตาย" และยิ้มให้ด้วยความรู้สึกของเพื่อนเก่าที่ไม่เคยเจอกัน
แต่รู้ว่าสักวันต้องได้พบ

เมื่อ "ความตาย" มาถึง "ชีวิต" ก็จากไป

จนถึงวันที่ต้องเกิดใหม่ "ชีวิต" ก็มาหา "ความตาย" และรับหน้าที่ไปอีกครั้ง

ในมุมมองนี้ คำสอนของพุทธศาสนา อาจมุ่งหวังให้ทั้ง "ชีวิต" และ "ความตาย" ได้พักไปตลอดกาล...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น