ถ้าหากจะตั้งคำถามว่า
“มนุษย์เราในทุกวันนี้ ยิ้มน้อยลงรึเปล่า”
ก็กลัวเหลือเกินว่าจะมีคำตอบว่า “ใช่ เรายิ้มน้อยลง” เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง ก็อาจตีความได้ว่าเรามีความสุขน้อยลง
และในทางกลับกันย่อมหมายความว่าเรามีความทุกข์มากขึ้น
มันเป็นเพราะว่าปริมาณความทุกข์เป็นสัดส่วนแปรผันตรงกับอายุของโลกอย่างนั้นหรือ
ยิ่งโลกอายุมากขึ้นความทุกข์ก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
หรือจะเป็นเพราะว่าคนเราทำในสิ่งที่ต้องเป็นทุกข์กันมากขึ้น มนุษย์เราเป็นผู้สะสมความทุกข์กันหรืออย่างไร
เมื่อลองพยายามมองเข้าไปถึงสาเหตุที่ทำให้เราเป็นทุกข์นั้น
สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนอย่างหนึ่งก็คือ “มนุษย์มีคุณสมบัติในการผูกติดยึดติด”
ดังที่จะเห็นได้จากปัญหาต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาการแบ่งแยกดินแดน การเข่นฆ่ากันโดยอ้างถึงความต่างของศาสนา
การฆ่ากันจากสาเหตุของความหึงหวงทางชู้สาว การฆ่าตัวตายเนื่องจากภาวะหนี้สิน
และปัญหาอื่นๆ อีกมากที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน
ไม่ใช่เพราะเรายึดติดในความเป็นชาติ
จึงเกิดการแบ่งชาติหรือ
ไม่ใช่เพราะเรายึดติดว่าเรานับถือศาสนานั้น
ศาสนานี้ จึงเกิดการแบ่งกลุ่มคนที่นับถือศาสนาต่างๆ หรือ
ไม่ใช่เพราะเรายึดติดว่าคนนั้นเป็นแฟนของเรา
ภรรยาของเรา สามีของเรา จึงทำร้ายผู้ที่เราคิดว่าแย่งเอาคนของเราไปหรือ
ไม่ใช่เพราะเรายึดติดว่าเงินนี้เป็นของเรา
จึงเป็นทุกข์เมื่อต้องสูญเสียมันหรือ
ไม่ใช่เพราะเรายึดติดว่าตัวตนนี้เป็นของเราหรือ
จึงหวงแหนและพร้อมจะทำร้ายผู้อื่นเพื่อปกป้องตัวเรานี้
ถ้าอย่างนั้นเราเป็นทุกข์เพราะเรายึดติดอย่างนั้นหรือ
ท่านพุทธทาสภิกขุได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่าหัวใจของพุทธศาสนานั้น
รวบรัดอยู่ในคำสอนสั้นๆ ขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “สิ่งทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”
ด้วยท่านพุทธทาสภิกขุได้สอนเกี่ยวกับ “โรคทางวิญญาณ” อันเป็นทุกข์นี้ มีเชื้ออยู่ที่ความยึดมั่นถือมั่น อันได้แก่
ยึดมั่นว่าเป็นตัวเรา ยึดมั่นว่าเป็นของเรา
เมื่อกำจัดซึ่งความยึดมั่นถือมั่นนี้แล้วเชื้อของโรคก็จะไม่มี โรคก็ย่อมไม่เกิด ทุกข์ก็จะไม่มีที่อยู่
แล้วทำอย่างไรถึงจะเข้าไปสู่การไม่ยึดมั่นถือมั่น
และดำเนินไปสู่ปลายทางสุดท้ายของการดับทุกข์ คือ “ความว่าง”
คำสอนในทางพระพุทธศาสนานั้นมีให้อ่านให้ฟังกันได้มากมาย
โดยเฉพาะงานเขียนของท่านพุทธทาสภิกขุ
ซึ่งกล่าวถึงแก่นคำสอนของพุทธศาสนาได้อย่างกระชับตรงไปตรงมา
ไม่เกินวิสัยที่จะทำความเข้าใจได้
แต่นอกจากการอ่านกับการฟังแล้ว ก็ยังมีสื่ออื่นที่พยายามสื่อสารทำความเข้าใจถึงความทุกข์
และสภาวะแห่งความว่างนี้อยู่
สื่อที่ว่านี้ก็คือ “ภาพยนตร์”
ศิลปะภาพยนตร์ที่มีอายุกว่าหนึ่งศตวรรษนั้น
สามารถกล่าวได้ว่านำเสนอเรื่องราวแทบทุกประเภทที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ รวมไปถึงเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบนโลกแล้วทั้งสิ้น
ทั้งเรื่องราวแบบรูปธรรมและเรื่องราวแบบนามธรรม
และสื่อภาพยนตร์นี้เองที่งานเขียนนี้ใช้เป็นเส้นทางในการเดินทางเพื่อทำความเข้าใจ
ความทุกข์ การยึดมั่นถือมั่น ไปจนถึง ความว่าง อย่างชาวพุทธครั้งนี้ โดยจะใช้คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุเป็นคู่มือ
เป็นแผนที่นำทางไปบนเส้นทางของภาพยนตร์ โดยเจาะจงไปที่ภาพยนตร์ของคุณแสงโต คำบาดาล
คุณแสงโต คำบาดาล
เป็นผู้กำกับหนังอิสระที่ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก
ผลงานส่วนใหญ่ได้รับการจัดฉายในวงแคบ บางเรื่องได้รับเชิญไปฉายในต่างประเทศ
ด้วยลักษณะของภาพยนตร์ที่ไม่เน้นความบันเทิง
แต่มุ่งเน้นการแสวงหาความหมายและทางออกของชีวิต
แม้ภาพยนตร์ของคุณแสงโต คำบาดาล
จะไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่การทำงานในแนวทางของภาพยนตร์ศิลปะอย่างจริงจังตลอดระยะเวลา
25 ปี (พ.ศ.2522-2547) โดยศึกษาและปฏิบัติตามแนวทางคำสอนเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่น
ตลอดจนความว่างจากท่านพุทธทาสภิกขุเป็นแก่นในการสื่อสาร ได้ทำให้เกิดความเข้าใจและมุมมองที่เติบโตขึ้นจนเกิดเป็นผลึกทางความคิดเกี่ยวกับการละตัวตนที่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากผลงานทั้งหมด
เมื่อลองแกะรอยจากภาพยนตร์ทั้ง 15
เรื่องตามลำดับตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยไม่ได้นับการจัดแสดงภาพถ่าย วิดีโออาร์ต
และสื่อผสม ในระหว่างช่วงเวลานั้นของคุณแสงโต สามารถแบ่งกลุ่มของภาพยนตร์ออกตามช่วงเวลา
และเนื้อหาหลักได้เป็นดังนี้
ช่วงที่หนึ่ง (พ.ศ.2522-2526) มนุษย์กับความรุนแรง
ช่วงที่สอง (พ.ศ.2527-2530) มนุษย์กับเซ็กซ์
ช่วงที่สาม (พ.ศ.2531-2536) ชีวิตกับความตาย
ช่วงที่สี่ (พ.ศ.2537-2544) ธรรมชาติ
ช่วงที่ห้า (พ.ศ.2545-2547) ความว่างเปล่า
แม้ในช่วงต้นงานภาพยนตร์ของคุณแสงโต จะยังไม่แสดงออกถึงการเดินทางสู่ความว่างมากนัก
แต่ก็ยังแสดงออกอย่างชัดเจนถึงการพยายามเรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่ได้รับการถ่ายทอดโดยผ่านคำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ
บางเรื่องเป็นการตั้งคำถาม
บางเรื่องแสดงความคิดเห็นในมุมมองที่แตกต่าง
เพื่อนำไปสู่การหาบทสรุปและคำตอบสุดท้ายของการเดินทาง
ตลอดเวลา 25 ปีรูปธรรมทางความคิดของคุณแสงโต
ที่นำเสนอผ่านภาพยนตร์ทั้ง 15 เรื่อง เป็นเสมือนบันทึกการเรียนรู้
และเป็นประตูสู่การทำความเข้าใจคำสอนเรื่องการไม่ยึดมั่นถือมั่น
การชมภาพยนตร์แต่ละเรื่อง
จึงเปรียบเสมือนการเปิดประตูแต่ละบานที่ทำให้เราได้เข้าใจ
และเข้าใกล้ความหมายของสภาวะที่แท้ของความว่างได้มากขึ้น
เพื่อให้เราสามารถพบเจอสภาวะความว่างนั้นได้ในชีวิตจริงของเราเอง
เขียนไว้ตั้งแต่ปี 2549 ครับ
ตอบลบ