วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

ฆ่า


ก่อนจะได้เข้ามาทำงานที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ป่าแบบนี้ ผมเข้าใจมาตลอดว่า ถ้าเสือโคร่งเห็นกวางเป็นต้องจับกินทุกทีไป หรือฝูงหมาในจะต้องออกล่าเหยื่อทุกๆ วัน

แต่พอได้มาหาข้อมูล ได้เข้าไปเฝ้าถ่ายทำจริงๆ ...กลับผิดคาด

ผมได้เห็นภาพของกวาง 4-5 ตัวริมน้ำ  เดินเล่นอาบแดด จนกระทั่ง มีฝูงหมาในเดินออกมากินน้ำใกล้ๆ กัน แม้กวางจะมีท่าทางตื่นกลัว แต่ก็ไม่ได้หนี ...ส่วนพวกหมาในนั้น ไม่ได้สนใจพวกกวางแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะเหลือบตามอง ยังคงเดินอาบแดดเพลินๆ ของมันไปอย่างนั้น

หรือว่าหมาในก็มีช่วงกินเจ (อันนี้คงต้องหาข้อมูลเพิ่มเติม) หรือหมาในฝูงนี้เป็นมังสวิรัติ (ก็ยังไม่มีข้อมูลสนับสนุนอยู่ดี)

เท่าที่พอจะเป็นไปได้ หมาในฝูงนี้คงยังอิ่มอยู่ จึงไม่มีความจำเป็นต้องล่า ต้องฆ่า

นั่นหมายความว่า จริงๆ แล้ว สัตว์ผู้ล่าไม่ได้ตะบี้ตะบันล่าๆๆๆๆ ฆ่าๆๆๆๆ

พวกมันล่าและฆ่าเมื่อจำเป็น เมื่อต้องการอาหารสำหรับตนเองและลูก

เมื่อได้อาหารเพียงพอ พวกมันก็ไม่ได้สนใจจะฆ่าใครอีก

 

เดือนนี้ (ส.ค. 54) ผมเพิ่งได้เห็นเสือโคร่งตัวเป็นๆ ในป่าครั้งแรก

มันดูธรรมดากว่าที่คิด ...ก็สวยสง่าดี แต่ดูๆ ไปมันเหมือนแมวตัวใหญ่ๆ มากกว่า คือไม่ได้น่ากลัวแบบ นี่เสือโคร่งนะเฟ้ย!” อะไรแบบนั้น จะออกไปในทางน่ารักเสียอีก

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะห่างระหว่างผมกับเสือโคร่งที่ว่านั้น ก็เกิน 200 เมตรขึ้นไป และผมอยู่ในที่ปลอดภัย ...หากได้พบสบตากันใกล้ๆ ย่อหน้าข้างบนคงไม่เป็นแบบนั้น หรือคงไม่มีบทความนี้ปรากฏขึ้นมาเลย...

ยังไงก็ตาม เท่าที่ได้เห็น ...เสือโคร่งมันก็เดินด้วยท่าทางผ่อนคลาย ไม่ได้ทำหน้าตาดุร้ายเหมือนอยากจะฆ่าใครอยู่ตลอดเวลา (ดูผ่านกล้องนะ)

ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทีมของเรามีความต้องการที่จะได้ภาพการไล่ล่าระหว่างเสือโคร่งกับเหยื่อของมันเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเราก็พยายามกันพอสมควร แต่ไม่เคยได้มีโอกาสเลยสักนิด

ผิดกับภาพของ เด็กนักเรียนล่ากัน ที่พบได้บ่อยมากทั้งจากข่าว และด้วยตัวเอง

ผมเคยเห็นเด็กนักเรียนในเครื่องแบบมัธยมประมาณ 20 คน ถืออาวุธวิ่งไล่กันอย่างเปิดเผย ตอนกลางวัน ในสยามสแควร์ ท่ามกลางผู้คนที่มาช๊อปปิ้ง...ดูจากสีหน้าของแต่ละคนแล้ว คงไม่ได้เล่นไล่จับกันแน่ๆ

ตีกันยังพอรับได้ในวัยที่เรี่ยวแรงเหลือเฟืออย่างนี้

แต่ทุกวันนี้กลับมีข่าวฆ่ากันมากกว่า ทั้งยิงสุ่มใส่กลุ่มคน ยิงใส่รถเมล์ ล้อมรถเมล์ จ่อยิงกันใกล้ๆ ฯลฯ

มันถึงขั้นต้อง ฆ่า กันเลยหรือ

หรือนี่คือการแก้แค้น ให้พ่อ ให้แม่ ให้เมีย ให้ลูก ที่โดนอีกฝ่ายฆ่า

คงไม่ใช่แค่เรียนกันคนละสถาบัน คนละคณะ หรือเพียงเพราะไม่ใช่เพื่อนเรา ก็เลยฆ่ากัน ถ้าเป็นอย่างนั้น เราคงต้องฆ่ากันจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว

 

ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันปี ที่เสือฆ่ากวางกินเป็นอาหาร แต่กวางก็ไม่เคยสูญพันธุ์ด้วยเหตุนี้

นั่นเพราะธรรมชาติมีเหตุผลในการคงอยู่ของสรรพสิ่ง และมีเหตุผลต่อเจตจำนงค์ของมัน

สัตว์ผู้ล่า เป็นผู้ควบคุมปริมาณ สัตว์กินพืช ไม่ให้มากเกินปริมาณ พืชอาหาร เพราะถ้าพืชอาหารหมด สัตว์กินพืชก็หมด และสัตว์ผู้ล่าก็ย่อมหมดตามไปด้วย

แม้พวกมันจะทำไปโดยไม่รู้ แต่ธรรมชาติแห่งความสมดุลได้แฝงอยู่ในตัวพวกมัน และทำหน้าที่อย่างดีเรื่อยมา

ในตัวพวกเราคงมีธรรมชาติแห่งความสมดุลนี้เช่นกัน แต่อาจโดน ความรู้ บดบังเอาไว้จนมิด

ความรู้ที่สร้างเหตุผลต่างๆ มาเพื่อฆ่ากัน

...เค้าระเบิดตึกเรา ...เราอยากได้น้ำมันจากเค้า ...เราอยากแบ่งแยกแผ่นดิน (แยกแผ่นดินก็ตกใจกลางโลกพอดี จะแยกทำไม) ...เค้าแตกต่างจากเรา ต่างชาติ ต่างภาษา ต่างๆ นานา

เราคิดหาเหตุผลมากมายเพื่อจะฆ่า แต่ไม่มีแม้สักข้อเพื่ออยู่ร่วมกัน

ตลอดมาเรามัวแต่สร้างเรื่องราวที่แฝงความแค้น ความอาฆาต

 

กวาง หมูป่า วัวแดง กระทิง ฯลฯ ถูกเสือโคร่ง ถูกหมาในฆ่ากินมาตลอด แต่ก็ไม่เคยมีข่าว

กวางนับร้อยยกพวกกระทืบหมาใน เจ็บตายระนาว หรือ

ฝูงวัวแดงวัยรุ่นล้อมเสือโคร่งแม่ลูกอ่อนหมายเอาคืน

 

ความแค้นอยู่ส่วนไหนของป่า?

ความอาฆาตอยู่ตรงไหนในธรรมชาติ?

หรือมันเพียงแค่เกิดขึ้น และจางหายไป

 

ทั้งที่หากต้องสู้กันจริงๆ กระทิงหนุ่มๆ แค่ตัวเดียว เสือโคร่งก็สู้ไม่ได้แล้ว

เสือโคร่งมักล่าสัตว์ที่ป่วยและอ่อนแอของฝูง (เป็นการกำจัดสายพันธุ์ที่อ่อนด้อย ให้เหลือแต่ตัวแข็งแรงสืบสายพันธุ์ต่อไป) เพราะมันก็ไม่อยากบาดเจ็บ ...หากบาดเจ็บนั่นอาจหมายถึงความตายของมัน

หรืออันที่จริงสัตว์ทุกตัวก็รักชีวิต เห็นได้จากการที่พวกมันไม่ได้ฆ่ากันพร่ำเพรื่อ

หรืออันที่จริงมนุษย์เราไม่รักชีวิต เพราะเห็นมีแต่ข่าวฆ่ากันทั่วโลก

ผู้ใหญ่หาเหตุ ฆ่า กันด้วยสงคราม ...

เด็กหาเหตุ ฆ่า กันด้วยการทะเลาะวิวาท

หรือนี่คือเจตจำนงค์ของมนุษย์ที่ธรรมชาติมอบให้

...ฆ่า...

 

ที่ผ่านมา ...เราเดินทางมาไกลแค่ไหน นับจากจุดแรกแห่งสายพันธุ์มนุษย์

เราได้พัฒนาสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมาย  จนโลกแปลกตาไปจากอดีต

เราเดินทางไปไกลเกินกว่าขอบเขตของโลกจะปิดขังเราไว้

แต่เราอาจไม่เคยไปไกลเกินกว่า สัญชาตญาณ ของเราเลย

 

เรายังฆ่าอย่างที่เราเคยฆ่า

เรายังทำลายเสมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตเรา

 

เรามองเห็นไปไกลถึงอีกกาแล็กซี

แต่เรามองไม่เห็นความสงบ

 

วันที่โลกหมุนเร็ว

วันที่ความรุนแรงโหมกระหน่ำ

เราจะหยุดมันได้ไหม?

หยุดการ ฆ่า ในตัวเรา

ให้ สติ ได้ทำงาน ...ให้มองเห็นผลลัพธ์ก่อนที่มันจะเกิด

 

ยิ่งนานวัน ผมยิ่งสงสัยกลุ่มคนที่รณรงค์ให้รักโลก รักป่า พวกเขาเอาแรงบันดาลใจมาจากไหน ก็ในเมื่อชีวิตของมนุษย์ด้วยกัน เรายังฆ่าทำลายกันไม่หยุด แล้วมนุษย์จะเอาตรงส่วนไหนของหัวใจไปรักโลกกันละครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น