วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559

จองเอง เที่ยวเอง : เชียงใหม่-มะละกา-กัวลาลัมเปอร์ Part 3

  22-25.08.2015


จันทร์ 24 สิงหาคม 2558

วันนี้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับวิวกัวลาลัมเปอร์...ฝั่งตรงข้ามก็มีโรงแรมให้เลือกพักราคาพอๆ กัน
เมื่อคืนฝนตก วันนี้ก็ยังอึมครึม
แต่ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นอย่างไร เราก็ยังคงต้องไปต่อไป เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร วันพรุ่งนี้มาถึงเมื่อไร ก็คงสายเกินไป...สงสัยยังสลึมสลืออยู่ 555+

อาบน้ำแต่งตัวลงมากินอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดเตรียมไว้
อาหารหลากหลายทั้งแบบมาเลเซียและแบบฝรั่ง
เราก็เลือกกินกันให้เต็มที่ เผื่อมื้อกลางวันกับมื้อเย็นเลย เอาให้คุ้ม...(ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก)
อาหารและสถานที่โอเคเลย นั่งกินกันเพลิน เตรียมไปเดินทางไกลกันวันนี้ มากับผม ผมพาเดินแน่นอนอยู่แล้ว 555+ (หัวเราะแบบจอมยุทธ์อีกครั้ง)

จากที่พักเราตั้งใจจะเดินไปบริเวณ Merdeka Square แล้วก็เที่ยวชมอาคารที่น่าสนใจบริเวณนั้น
เดินออกจากโรงแรมมาเจอไก่ เดี๋ยวตอนกลางคืนจะมานั่งกินในซอยข้างๆ ไก่นี่แหละ

ผ่าน Petaling Street ตอนเช้าโล่งมาก
มีธนาคารกรุงเทพด้วย
ผ่าน Central Market
แล้วก็เดินเลาะตามแม่น้ำกลาง (Klang River) ขึ้นไป เดินไปเรื่อยๆ ไม่นานครับ ได้ชมวิวข้างทาง สำหรับผมการได้เดินเที่ยวเราจะเข้าถึงและจดจำสถานที่นั้นๆ ได้ดีกว่า เพราะเป็นการจดจำด้วยร่างกายอีกส่วนหนึ่ง

เราจะไปแวะจุดอื่นๆ ก่อนจะวนไปที่ Masjid Jamek (โดมยอดแหลมสีขาวตรงกลางภาพ)
จุดนี้เป็นการบรรจบกันของแม่น้ำสองสาย ทางซ้ายมือด้านบนคือแม่น้ำกอมบัค (Gombak River) ส่วนทางขวามือด้านบนคือแม่น้ำกลาง (Klang River) พอบรรจบกันแล้วไหลลงมาด้านล่างซ้ายของภาพ ก็เรียกรวมว่าแม่น้ำกลาง (Klang River)

ผ่าน National Textile Museum (สร้างปี 1905) แต่ไม่ได้แวะเข้าไป

รอข้ามถนน อาคารฝั่งตรงข้ามคือ National Music Museum (สร้างปี 1919)
เสาธงที่สูงที่สุดในโลก (ปี 1957) สูง 100 เมตร
Victorian Fountain อายุกว่า 100 ปี นำมาจากอังกฤษแล้วประกอบเข้าด้วยกันที่นี่

Merdeka Square  สงสัยจะจัดกิจกรรมในช่วงที่ผมไป ปกติก็เป็นพื้นที่จัดกิจกรรมสำคัญๆ ของมาเลเซีย

เริ่มเหนื่อยเลยแวะนั่งพักกันก่อน

Royal Selangor Club (สร้างปี 1884) 

St. Mary's Cathedral (สร้างปี 1894) 

เข้าชมได้ฟรี ภานในยังดูดีสวยงาม
ทั้งหมดนี้อยู่รอบๆ Merdeka Square เดินถึงกันได้หมด พอถึงจุดนี้ผมก็เดินกลับไปที่ National Music Museum เพราะนัดพ่อกับแม่ว่าจะเจอกันตรงนั้น หลังจากแยกย้ายกันเที่ยวตามอัธยาศัย

คนนี้หน้าตาดี ^_^
Sultan Abdul Samad Building (สร้างปี 1894-1897)

มาที่ Music Museum อีกครั้ง คราวนี้จะเข้าไปข้างในละ เพราะเข้าฟรี 555+

ภายในมีเครื่องดนตรีหลายยุคสมัยจัดแสดง

จัดแสดงได้อย่างสวยงาม


กลองนี้คงทำขึ้นสำหรับงาน 1998 Commonwealth Games (ประมาณกีฬาในเครือจักรภพแห่งอังกฤษ)
เสร็จจากการเที่ยวชม Music Museum ก็ออกมาเจอพ่อกับแม่ผมที่หน้า Kuala Lumpur City Gallery ซึ่งมีคนมาต่อแถวถ่ายรูปหน้าหัวใจสีแดงนี่เยอะมาก

I Love KL นี่แหละครับ คนรอถ่ายรูปเยอะมาก
แล้วเราก็เดินไปหาซื้อน้ำกินและเข้าห้องน้ำ ใต้เสาธงสูงๆ มีชั้นใต้ดิน และมีร้านค้าอยู่ในนั้น
กราฟฟิตี้สวยดี สงสัยเป็นลานกิจกรรมของวัยรุ่น

โคนเสาธงที่สูงที่สุด ทำสวยดี ดูสง่างาม
ดื่มน้ำและเข้าห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ออกเดินเท้าต่อไปยัง Masjid Jamek 

เดินผ่าน City Theatere-Panggung Bandaraya KL (สร้างปี 1896)
ในที่สุดก็มาถึง Masjid Jamek ผู้หญิงเค้าให้สวมชุดคลุมก่อนเข้าไปข้างใน

สร้างในปี 1909

ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมในอาคารนี้

เข้าได้ทีละ 4-5 คน ที่เหลือต้องรออยู่ด้านนอก

เพราะเค้าจะอธิบายและตอบคำถามอย่างละเอียด (ชุดคลุมแบบสีแดงและม่วงนั่นแหละครับ)
เข้าไปเยี่ยมชมให้จิตใจสงบแล้วก็ออกเดินทางกันต่อ คราวนี้นั่งรถไฟใต้ดินจากสถานี Masjid Jamek ไปลงที่สถานี Dang Wangi เพื่อไป KL Tower

แลกเงินทางขวามือ แล้วไปหยอดตู้ทางซ้ายมือ (เหมือนที่กทม.แหละครับ)

ภายในรถไฟก็เหมือนๆ กัน คงเป็นรูปแบบมาตรฐาน

ถึงสถานี Dang Wangi แล้วก็เดินขึ้นมา เจอป่าอยู่ข้างหน้า
ป่าที่เห็นในรูปก็คือพื้นที่ของ KL Tower นั่นแหละครับ...และจากนี้ไปทริปที่ราบรื่นของเรา ก็เกิดข้อผิดพลาดขึ้นจนได้...

เพราะผมลืมหาข้อมูลว่าทางเข้าของ KL Tower อยู่ตรงไหน ตอนหาข้อมูล ดูแผนที่แล้วก็เห็นว่าสถานี Dang Wangi มันอยู่ใกล้ๆ กับ KL Tower และพื้นที่ของ KL Tower กว้างมากกกก คงหาเจอไม่ยาก
ใช่ครับ หาเจอไม่ยาก แต่หาทางเข้ายาก

ตั้งแต่มาถึงกัวลาลัมเปอร์ เวลาไปถามทางใครเค้าก็พูดภาษาอังกฤษได้หมด ผมก็ชะล่าใจว่า ถ้าหลงก็ถามทางเอา แต่ว่าไม่ใช่กับจุดนี้...เพราะที่นี่ผมไม่เจอคนที่พูดภาษาอังกฤษเลย 

บางคนบอกไปทางซ้าย (ชี้มือบอก) บางคนบอกไปทางขวา ...ซึ่งจริงๆ จากในรูป ให้ข้ามฝั่งไปที่ป่าแล้วเลาะกำแพงไปทางซ้ายเรื่อยๆ ก็จะเจอทางเข้า แต่ต้องเดินไปไกลพอสมควร

แน่นอนว่าผมก็เดินไปทางนั้น แต่มันไกลมาก ไกลจนคนที่ชอบเดินอย่างผมไม่มั่นใจว่ามาถูกทาง เลยถามทางใหม่ คราวนี้เค้าชี้ให้เดินกลับทางเดิม ก็เดินกลับไป เดินไปเดินมาอย่างนี้จนท้อ สงสารพ่อกับแม่ผมที่ต้องมาลำบากเพราะผม

สุดท้ายหมดแรง ต้องเข้าไปนั่งพักในโรงแรมแถวๆ นั้น และพ่อผมก็ไปถามทางให้ (ในโรงแรมพูดภาษาอังกฤษได้ นั่นสิผมก็ลืมคิดไป) เค้าก็ยืนยันให้ไปทางนี้ เราก็กัดฟันเดินกันไปจนเจอทางเข้าจนได้ (จริงๆ ระยะทางไกลแต่ก็เดินได้ไหว ถ้าไม่ต้องเดินกลับไปกลับมาหลายเที่ยว)

มาถึงทางเข้าจนได้
ชื่ออย่างเป็นทางการ Menara Kuala Lumpur (https://www.menarakl.com.my/detail6.html) ตอนก่อนผมไปเที่ยว ในเว็บไซต์ของเค้า มีบัตรลด 10% คือปริ้นท์ไปให้เค้า แล้วเค้าจะลดราคาให้ ผมเลยปริ้นท์ไปด้วย

เข้าประตูมาให้นั่งรอแถวนี้ จะมีรถรับส่งฟรีไปยอดดอย เอ้ย! KL Tower
รถจะไปส่งให้เราลงตรงทางเข้า KL Tower เป็นอาคารที่มีร้านอาหารและสินค้าต่างๆ ซึ่งราคาค่อนข้างแพง ผมเลยเดินลงมาอีกหน่อย เจอร้านนี้เข้าโดยบังเอิญ (จริงๆ ตอนนั่งรถผ่านมาก็เห็นแหละ)

ราคาโอเค รสชาติโอเค 
กินอิ่มแล้วฝนก็ตกตามสูตร (สูตรใครฟ่ะ) นั่นแหละมาเที่ยวช่วงหน้าฝน จริงๆ เราก็แทบไม่เจอฝนตกเลยนะครับ เจอที่มะละกาครั้งนึง และที่นี่อีกครั้งนึงแค่นั้น

ก็ใส่ชุดกันฝนที่เตรียมมา แล้วเดินกลับไปตรง KL Tower ซึ่งจะมีแต่ผมกับแฟนที่ขึ้นไป เพราะแม่ผมกลัวลิฟท์ คือถ้าไม่กี่ชั้นก็ยังพอทน แต่นี่ลิฟท์ความเร็วสูงขึ้นไป 276 เมตรจากผิวดิน เป็นอันว่าไม่ขึ้นแน่นอน

ถ้าไม่ขึ้นไปจุดชมวิวของเค้า ด้านล่างก็มีกิจกรรมให้ทำเยอะอยู่ครับ แต่ผมตั้งใจจะขึ้นให้ได้ตั้งแต่ก่อนมาละ ถึงฝนจะตกแบบนี้ (T_T) ก็ยังจะขึ้นอยู่ดี

Jelutong Tree ต้นไม้เก่าแก่อายุกว่า 100 ปี
บริเวณนี้เป็นพื้นที่ก่อนขึ้นหอชมวิว ให้นักท่องเที่ยวเดินเล่นได้รอบๆ พ่อกับแม่ผมก็รออยู่ชั้นนี้ แล้วผมกับแฟนก็ซื้อตั๋วและไปต่อแถวขึ้นลิฟท์ไปยังจุดชมวิว (Observation Deck)

วิวจาก Observation Deck

ฝนตกเลยเห็นไม่ค่อยชัด

จะมีกล้องส่องทางไกลให้นักท่องเที่ยวส่องตามจุดต่างๆ

ตึกสูงๆ ทางซ้ายมือคือ ตึกแฝดปิโตรนาส ที่เราจะเดินไปต่อจากนี้
ขึ้นมายัง Observation Deck แล้วเราจะอยู่นานแค่ไหนก็ได้ตราบเท่าที่เค้ายังไม่ปิด ไม่ได้จำกัดเวลา แต่อยู่ไปสักพักก็เบื่อเองแหละครับ เพราะฝนตกหนักกว่าเดิม เริ่มมองอะไรไม่ค่อยเห็นละ

ในชั้นนี้ก็จะมีนิทรรศการ (ฝั่งผนังด้านในที่ไม่ติดกระจก) บอกอันดับหอคอยที่สูงที่สุดในโลก (ที่นี่เป็นอันดับ 4) มีของที่ระลึกขาย ถ่ายรูปเราแล้วก็มาขายให้เรา ประมาณนี้ครับ เดิน 2 รอบก็เบื่อแล้ว

ยืนชมวิวฝนตกจนพอใจแล้วผมกับแฟนก็ลงไปหาพ่อกับแม่ เพื่อไปยังจุดหมายต่อไป
ตอนที่เราออกมาฝนเริ่มหยุดแล้ว โชคดีหน่อย
คราวนี้ไม่หลงแน่นอน เป้าหมายสูงขนาดนั้น

เข้ามาใกล้ๆ แล้วยิ่งสูงมากๆ
เราเดินเข้าไปเที่ยวในส่วนของ Suria KLCC Shopping Centre (อาคารสีน้ำตาลอ่อนๆ ที่มีรูปธงชาติ)

โถงภายใน Suria KLCC Shopping Centre 

มองออกไปยังฝั่ง KL City Centre Park ฝนยังตกปรอยๆ
พื้นที่บริเวณนี้เรียกรวมๆ ว่า KLCC (Kuala Lumpur City Centre) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ถ้าฝนไม่ตกน่าจะบรรยากาศดีมาก แต่ในเมื่อฝนตก เราก็เลยเที่ยวใน Suria KLCC ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้า (ประมาณ Central World) แล้วก็หาข้าวกินที่นี่ ก่อนจะออกไปถ่ายรูป Petronas Twin Towers พร้อมแสงไฟยามค่ำคืน

ถ่ายรูปจนเมื่อยคอเลยทีเดียว
ฝนยังคงตกปรอยๆ เราก็ถ่ายรูปกันจนหนำใจ แล้วก็ไปขึ้นรถเมล์ฟรีกลับที่พัก ช่วงนี้ฝนหยุดแล้ว ...แต่ขณะที่กำลังจะขึ้นรถเมล์นั้น ด้วยความที่ผู้คนจำนวนมากเบียดเสียดกันขึ้นรถ บางคนอาจไม่ได้ระวังตัว ทันใดนั้นเองผมก็รู้สึกว่ามีใครมาตบที่กระเป๋ากางเกงของผมหลายครั้ง ผมจึงหันไปมองหน้าและตะคอกไป 1 ที ว่า "ว้าย" (แหม มันคงกลัวนะ) ก็ตะคอกว่า "เฮ้ย" ปกตินี่แหละครับ มันเห็นว่าเรารู้ตัวก็หนีไปเอง ผมเห็นมี 2 คนที่ทำแบบนั้นและรีบหนีไป ส่วนผมและครอบครัวก็ขึ้นรถเมล์จากมาอย่างสงบ

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เวลาเดินทางอย่าประมาท เก็บของมีค่าติดตัวให้มิดชิด อันตรายมาหาเราได้ตลอดเวลา

นั่งรถมาลงแถว Petaling Street เพื่อหาอะไรนั่งกินชิลๆ คืนสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย เดินมาเห็นเค้าทำโรตีดูน่ากินเลยจัดมาสักหน่อย และอร่อยมาก อร่อยกว่าที่กินบนเครื่องอีก เพิ่งรู้ว่าที่นี่ทำโรตีอร่อยขนาดนี้ รู้อย่างนี้ซื้อกินตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
รสชาติไม่เหมือนที่เมืองไทย หอม อร่อย นุ่ม เหนียวกำลังดี เห็นรูปแล้วอยากกินอีก
เดินเข้าไปในซอยข้างๆ ตึกที่มีรูปไก่เมื่อตอนเช้า ข้างในซอยนี้มีของกินเยอะมาก ตลอดสองข้างทาง สุดท้ายเราก็มานั่งกินลวกจิ้มของที่นี่ และพนักงานพูดไทยได้อีกแล้วครับท่าน เค้าบอกว่าเคยไปทำงานเมืองไทยหลายปี พูดไทยได้เหมือนคนไทยนี่แหละครับ

มื้อนี้เป็นมื้อที่เรานั่งกินอย่างผ่อนคลาย คงเพราะไม่มีกำหนดการอะไรแล้ว และที่สำคัญได้เจอคนที่พูดภาษาเดียวกับเราในต่างแดนมันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก นั่งกินไป คุยกันไป อร่อยและมีความสุข

ข้างใต้มีแก๊ส สำหรับต้มน้ำตรงกลางเตา ที่สำคัญอร่อยทุกไม้ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น