เปลวไฟขนาดมหึมาพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง เพื่อส่งให้จรวดที่บรรจุผู้โดยสาร 45,000 คน พุ่งทะลุชั้นบรรยากาศออกไปสู่อาณานิคมอวกาศ (Space Colony) ก่อนที่เปลวไฟสีแดงนั้นจะเลือนหายไปในอวกาศ เหลือทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าสีเทาหม่นกว้างใหญ่สุดสายตา
ณ ที่ห่างไกลออกไป ดวงตาสองคู่จ้องมองภาพเปลวไฟนั้น หายลับไปในความสลัวลางของท้องฟ้าสีเทาหม่นนี้เช่นกัน
“กวางตุ้ง รู้มั้ยว่าเมื่อก่อนท้องฟ้าไม่ได้เป็นแบบนี้”
ผู้หญิงรูปร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้ง แววตาอบอุ่นแต่ดูแข็งแกร่งอยู่ในที แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเรียบง่าย เอ่ยถามลูกสาววัยรุ่นที่ยืนถือตะกร้าอยู่ข้างๆ
“เป็นแบบไหนเหรอค่ะแม่”
กวางตุ้ง เด็กสาวรูปร่างสมส่วน ใบหน้าสดใส ถามด้วยความสนใจ ก่อนที่ดวงตาแจ่มใสคู่นั้นจะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีเทาหม่นเบื้องหน้า
“ยายเล่าให้แม่ฟังว่า เมื่อ 50 ปีก่อน ในตอนกลางวันเราจะมองเห็นท้องฟ้าทั้งผืนเป็นสีน้ำเงินไปจนสุดสายตา บางครั้งอาจมีเมฆสีขาวผืนใหญ่บ้างเล็กบ้าง ประดับตกแต่งให้สวยงามยิ่งขึ้น พอตกเย็นดวงอาทิตย์สีแดงกลมโต จะเคลื่อนคล้อยลงหลังทิวเขาสูง ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีส้มอมชมพูแล้วก็ไล่สีไปเรื่อยๆ ผสมกับสีน้ำเงินที่กลายเป็นสีดำของตอนกลางคืนในที่สุด ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นดวงดาวที่ส่องสว่างเป็นจุดเล็กๆ เต็มท้องฟ้าไปหมด เหมือนอัญมณีสวยๆ ที่ประดับอยู่ทั่วฟ้าเลย”
กวางตุ้ง หลับตานึกภาพตามที่แม่เล่าให้ฟัง
“ว้าว! กวางตุ้งอยากเห็นแบบนั้นบ้างจัง คงจะสวยมากๆ เลย น่าอิจฉาคนที่เคยอยู่ในปี 2020 นะคะ ที่มีโอกาสได้เห็นวิวสวยๆ แบบนั้นทุกวัน”
แม่ทอดสายตาออกไปที่ผืนฟ้าสีเทาหม่นข้างหน้า ก่อนจะหันกลับมาลูบหัวกวางตุ้งเบาๆ
“แม่ก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนเหมือนกัน แต่แม่เชื่อว่าสักวันท้องฟ้าที่สวยงามแบบนั้นจะกลับมาให้เราเห็นอีกครั้ง ตอนนี้พวกเราเก็บผักไปทำข้าวเย็นดีกว่า พ่อรอเราสองคน คงหิวแย่แล้ว”
บริเวณที่ทั้งสองคนยืนอยู่ เป็นพื้นที่ราบเชิงเขาใกล้กับลำธาร ที่ถูกทำเป็นแปลงผักหลากหลายชนิด โดยกลุ่มคนที่อพยพย้ายเข้ามาอยู่ในป่าเพื่อหลีกหนีจากปัญหาการเมืองและสงครามระหว่างประเทศที่ยืดเยื้อเรื้อรังมายาวนาน
จากเหตุการณ์ไวรัสแพร่ระบาดเมื่อปี 2020 ซึ่งกินเวลาเกือบ 3 ปี กว่าที่สถานการณ์จะคลี่คลาย แต่กลับก่อให้เกิดความบาดหมางระหว่างประเทศมหาอำนาจหลายประเทศ โดยเฉพาะตะวันตกกับตะวันออก จนกลายเป็นสงครามระหว่างประเทศที่กินเวลายาวนาน ทำให้เศรษฐกิจโลกตกต่ำ ผู้คนมากมายต้องอดอยากและล้มตาย ซ้ำร้ายยังมีไวรัสชนิดใหม่ที่หลุดจากห้องทดลองเพื่อการสงคราม ออกมาแพร่ระบาดในวงกว้างและส่งผลร้ายแรงกว่าครั้งที่ผ่านมา
ผลกระทบของปัญหานี้ ทำให้ในหลายประเทศ ผู้คนจากหลากสาขาอาชีพได้ย้ายไปตั้งรกรากกันบริเวณชายป่าที่รกร้างห่างไกล เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับแนวทางในการจัดการปัญหาของรัฐ ที่ออกมาตรการควบคุมอย่างเข้มงวด โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส อันเป็นการจำกัดสิทธิของประชาชน
แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับเลือกที่จะยอมรับในการควบคุมดูแลโดยรัฐบาล เพราะได้รับประโยชน์จากการจัดสรรที่อยู่อาศัยอย่างดี มีการสร้างอาชีพที่เหมาะสมตามความชำนาญ ทั้งหน่วยผลิตด้านเกษตรกรรม, ด้านอุตสาหกรรม, ด้านสาธารณสุข และด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งจะมีสวัสดิการที่ดีดูแลตลอดชีวิต
ในขณะที่กลุ่มชนชั้นนำซึ่งคิดเป็น 1% ของประชากร ผู้ครอบครองทรัพย์สินมากว่า 50% ของทั้งประเทศ ได้สร้างเมืองแห่งเทคโนโลยีสำหรับพวกตนขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อควบคุมสภาพแวดล้อมและอากาศให้สะอาดบริสุทธิ์ ทำให้อาศัยอยู่ได้อย่างสุขสบาย โดยไม่ต้องวิตกเรื่องสภาพแวดล้อมของโลกที่เสื่อมโทรมลงอย่างมาก
ก่อนที่แสงสุดท้ายของวันจะผ่านพ้นไป กวางตุ้งกับแม่ถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยผักหลากหลายชนิด เดินกลับมาที่ภูเขาลูกใหญ่ ลึกเข้าไปด้านในเป็นถ้ำที่มีโถงกว้างและสูง มีช่องหินให้แสงสว่างส่องเข้ามาได้อย่างเพียงพอ ภายในถ้ำจัดทำเป็นที่อยู่อาศัยขนาดพอเหมาะ ดูทันสมัยแต่ก็กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ใช้ไฟฟ้าจากแผง Solar Cell ที่ติดตั้งไว้นอกถ้ำแล้วเดินสายไฟเข้ามายังแบตเตอรี่ด้านใน นอกจากนี้ยังมีระบบน้ำที่นำน้ำจากภายนอกเข้ามาใช้ภายในถ้ำ นับเป็นถ้ำที่มีสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตครบครัน
ถัดเข้าไปด้านในถ้ำ มีห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์อยู่ห้องหนึ่ง พ่อของกวางตุ้งซึ่งเป็นนักพันธุศาสตร์ (Genetics) กำลังส่องกล้องจุลทรรศน์หายีน (Gene) ของพืชที่สามารถฟอกอากาศ นำสารพิษลงสู่รากให้จุลินทรีย์ทำการย่อยสลาย จนเกิดอากาศบริสุทธิ์หมุนเวียนอยู่รอบใบไม้ เพื่อนำมาปลูกถ่ายใส่ต้นไม้ยืนต้นให้ทั่วทั้งป่า เมื่อกวางตุ้งมองเห็นพ่อก็รีบเดินเข้าไปหา
“พ่อคะ กวางตุ้งเก็บผักมาได้เยอะเลย”
พ่อกวางตุ้งเป็นผู้ชายรูปร่างสันทัด แข็งแรง ดูท่าทางใจดี พ่อละสายตาจากกล้องจุลทรรศน์มาหากวางตุ้ง
“เป็นไงบ้างวันนี้ ผักน่ากินมั้ย”
กวางตุ้งรีบตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
“โตและสดมากเลยค่ะ ทั้งผักกาด หัวหอม แตงกวาสดและฉ่ำมาก กวางตุ้งชิมมาแล้ว”
พ่อยิ้ม แล้วเล่าถึงโครงการต่อไปที่กำลังทำให้กวางตุ้งฟัง
“พ่อทำให้เรามีผักที่โตในทุกสภาพแวดล้อมได้แล้ว คราวนี้พ่อจะทำให้ต้นไม้ทุกต้นกลายเป็นเครื่องฟอกอากาศ ให้กวางตุ้งมีอากาศดีๆ ไว้หายใจได้ตลอดไปเลยดีมั้ย”
“แล้วจะทำให้ฝุ่นควันสีเทาบนท้องฟ้าหายไปด้วยมั้ยคะ กวางตุ้งอยากเห็นท้องฟ้าสีน้ำเงิน”
“อืม! ก็น่าจะได้อยู่นะ อาจจะนานหน่อยแต่เราจะต้องได้เห็นท้องฟ้าสีน้ำเงินสวยงามในสักวันแน่นอน”
คำตอบของพ่อทำให้กวางตุ้งยิ้มด้วยแววตาสดใสอีกครั้ง ก่อนจะผละไปช่วยแม่ทำอาหารเย็นสำหรับทานกันในคืนนี้
ชุมชนนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว โดยนักบุกเบิกราว 20 คน มีทั้งวิศวกร สถาปนิก นักวิทยาศาสตร์ เกษตรกร และอีกหลายสาขาอาชีพ ต่างคนต่างก็ช่วยกันตามความถนัดจนทำให้ถ้ำนี้กลายเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีความพร้อมในการอยู่อาศัย
ปู่ย่าตายายของกวางตุ้งก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยคุณปู่กับคุณตาเป็นนักชีววิทยาด้าน Stem Cell ที่ตระหนักว่าทั้งไวรัสที่แพร่ระบาดและสภาพแวดล้อมของโลกที่เสื่อมโทรมลง จะเป็นอันตรายต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และได้พยายามหาทางแก้ปัญหานี้มาโดยตลอด ระหว่างนั้นก็พยายามถ่ายทอดองค์ความรู้ทั้งหมดให้พ่อและแม่ของกวางตุ้ง
แต่วิกฤติเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด คนรุ่นที่เกิดในถ้ำไม่สามารถมีลูกได้ นั่นหมายความว่าหากหมดคคนรุ่นนี้ก็จะไม่มีใครเกิดขึ้นมาอีกแล้ว ทำให้คุณปู่กับคุณตาตัดสินใจนำสเปิร์มและเซลล์ไข่ของพ่อกับแม่กวางตุ้ง มาปฏิสนธิกันในหลอดทดลอง คัดสรรยีนที่มีผลต่อไอคิว และกำจัดยีนที่มีผลต่อโรคทางพันธุกรรมต่างๆ ออกไป จากนั้นเมื่อตัวอ่อนมีความแข็งแรงจึงฉีดกลับเข้าไปในมดลูกของแม่ ทำให้กวางตุ้งเป็นเด็กที่มีไอคิวที่สูงกว่าคนทั่วไป และร่างกายต้านทานอากาศที่เป็นมลพิษได้ดี
แม้ว่ากวางตุ้งจะเติบโตมาได้อย่างสมบูรณ์ และได้รับความรักจากคนในชุมชนเป็นอย่างดี แต่คนในชุมชนนี้เชื่อในวิถีแห่งธรรมชาติที่ว่า “มนุษย์ควรเกิดและตายตามธรรมชาติ” กวางตุ้งจึงเป็นเด็กคนสุดท้ายของที่นี่
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในปี 2050 ที่โลกภายนอกถ้ำได้มีการกลายพันธุ์ของไวรัส ทำให้ระบบหายใจของมนุษย์หยุดทำงานและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ไว้รัสชนิดนี้สามารถแพร่ไปได้ในน้ำและอากาศ ทำให้ประชากรโลกลดลงเหลือเพียง 1 ใน 3
ประเทศต่างๆ ยุติสงครามและหันมาร่วมมือกันหาทางออก จนได้ข้อสรุปเรื่องการออกไปสร้างอาณานิคมในอวกาศ แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ต้องย้ายลงไปอยู่ใต้ดินตามที่รัฐได้จัดสร้างไว้ให้ ยกเว้นมนุษย์ที่ตั้งชุมชนอยู่ในป่าต่างๆ ทั่วโลก ยังคงใช้ชีวิตตามรูปแบบของตัวเองต่อไป
จนในปี 2070 มนุษย์ทั้งโลกเหลือไม่ถึงหนึ่งร้อยล้านคน สาเหตุทั้งจากไวรัส การเข่นฆ่ากันเอง และที่สำคัญไม่มีมนุษย์เกิดขึ้นใหม่มากว่า 20 ปีแล้ว นักวิทยาศาสตร์พยายามทำความเข้าใจและหาทางออกของปัญหานี้โดยการสร้างหอคอยที่ควบคุมด้วย AI (Artificial Intelligence) กระจายอยู่ตามเมืองสำคัญทั่วโลก โดยแต่ละหอคอยจะมีการส่งข้อมูลเชื่อมถึงกันเพื่อเก็บรวบรวมสภาพแวดล้อมของโลกทุกส่วน และติดตามข้อมูลของมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลก เพื่อหาคำตอบเดียว นั่นคือ “ทำอย่างไรที่จะไม่ให้มนุษย์สูญพันธุ์”
และในปีนี้เองที่นักวิทยาศาสตร์ได้ส่งชนชั้นนำจำนวน 45,000 คน ขึ้นไปสู่อาณานิคมอวกาศเป็นครั้งแรก โดยหวังว่าจะเป็นถิ่นฐานใหม่ให้กับมนุษย์ในอนาคตต่อไป
อาหารเย็นถูกจัดเรียงอย่างพร้อมเพรียง ทุกจานทำจากผักที่กวางตุ้งกับแม่เก็บมา พ่อ แม่ และกวางตุ้งล้อมวงกันรอบโต๊ะอาหาร ที่จริงแล้วก่อนหน้านี้ในชุมชนเคยมีสมาชิกมากถึงกว่า 30 คน แต่การที่ไม่สามารถมีลูกได้ อีกทั้งอายุขัยที่สั้นลงจากมลพิษและผลของไวรัส ทำให้คนในถ้ำแห่งนี้ทยอยเสียชีวิตลงเรื่อยๆ
ด้วยความที่กวางตุ้งเป็นเด็กคนสุดท้ายในชุมชน ทำให้ได้รับความรักและการถ่ายทอดความรู้จากทุกคนในถ้ำอย่างเต็มที่ กอปรกับที่กวางตุ้งมีไอคิวสูงจึงเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งด้านวิชาการและทักษะการดำรงชีวิตในป่า ทำให้คนสอนสนุก คนเรียนก็เพลิดเพลินไปด้วย
สำหรับกวางตุ้ง ถ้ำแห่งนี้จึงเปรียบได้กับโลกทั้งใบ โดยมีทุกคนในถ้ำเป็นเสมือนครอบครัว เป็นทั้งความรักและความสุขของกวางตุ้ง แต่กาลเวลาที่ผันผ่านก็พรากสิ่งเหล่านี้ไปจากกวางตุ้ง คนแล้วคนเล่า จนทำให้เด็กสาวในวันนั้นกลายเป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งในวันนี้ วันที่เหลือเพียงตัวคนเดียว
กว่า 5 ปีแล้วที่กวางตุ้งสูญเสียพ่อแม่ ทำให้ต้องใช้ชีวิตอยู่ในถ้ำเพียงลำพัง แม้ว่าจะพยายามทำการติดต่อกับชุมชนชาวป่าอื่นๆ ทั่วโลกแต่ก็ไม่มีสัญญาณใดตอบกลับมา สัตว์ป่าบนพื้นโลกก็สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เหลือแต่สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำ กวางตุ้งจึงคิดว่า ถ้าไม่นับมนุษย์ที่ออกไปสร้างอาณานิคมในอวกาศ บนพื้นโลกนี้อาจไม่มีใครเหลืออยู่อีกแล้วนอกจากกวางตุ้ง
การที่จะผ่านวันคืนเหล่านี้เพียงลำพังย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ความทรงจำที่งดงามในอดีตยังคงช่วยหล่อเลี้ยงให้จิตใจของกวางตุ้งเข้มแข็งเรื่อยมา ในแววตายังสะท้อนความตั้งใจที่จะสานต่อเจตนารมณ์ของคุณพ่อในการฟื้นฟูโลกใบนี้ กวางตุ้งยังคงนึกถึงคำที่พ่อเคยบอก
“มันไม่ได้สำคัญว่าเราจะมีชีวิตอยู่ยาวนานแค่ไหน แต่มันสำคัญว่าขณะที่มีชีวิตอยู่ เราได้ใช้มันเพื่ออะไร”
กวางตุ้งสานต่อการดัดแปลงพันธุกรรมพืชที่พ่อกับแม่ร่วมกันวิจัยจนสำเร็จ ทำให้ต้นไม้ทั่วภูเขากลายเป็นเครื่องฟอกอากาศชั้นดี ช่วยกรองมลพิษทั้งหมดรอบบริเวณนี้ ทำให้อากาศดี ดินดี น้ำในลำธารก็สะอาด พืชผักผลไม้ให้ผลเร็วและสมบูรณ์ สภาพแวดล้อมเหล่านี้พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์มาอยู่อาศัย ขาดก็แต่เพียงมนุษย์
นี่จึงเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้กวางตุ้งตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา กวางตุ้งจับสัตว์น้ำในลำธารมาทำความเข้าใจและทำการทดลองอย่างต่อเนื่อง เพื่อศึกษาองค์ประกอบของชีวิตแต่ละสายพันธุ์ มองหาการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเส้นทางแห่งวิวัฒนาการ จนกระทั่งค้นพบเงื่อนไขบางอย่างที่สามารถเร่งกระบวนการวิวัฒนาการ
มนุษย์เราถือกำเนิดขึ้นมาตอนไหนในเส้นทางวิวัฒนาการอันยาวนั้น ความรู้ทั้งหมดที่มียังคงเป็นเพียงการคาดคะเนจากหลักฐานและความเป็นไปได้
แต่สำหรับกวางตุ้งในตอนนี้ แค่เพียงความเป็นไปได้เพียงเล็กน้อยก็มากพอแล้วที่จะคาดหวัง
คาดหวังว่ากระบวนการวิวัฒนาการนั้นจะเกิดขึ้นอีกครั้ง และถ้าทำให้มันเกิดขึ้นได้เร็วกว่าเดิมก็คงดี
กวางตุ้งจึงตัดสินใจนำยีนของตัวเองยิงเข้าไปในยีนของปลาที่ดัดแปลงพันธุกรรมแล้ว เพื่อเร่งกระบวนการวิวัฒนาการ
แม้ผลสุดท้ายของกระบวนการวิวัฒนาการนี้จะต้องใช้เวลายาวนานกว่าชีวิตของกวางตุ้ง และผลอาจไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง แต่อย่างน้อยกวางตุ้งก็ได้ใช้ความเป็นไปได้นั้นอย่างเต็มที่แล้ว
บนท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาหม่น แต่กวางตุ้งมองท้องฟ้านั้นด้วยแววตาที่มีความหวัง หลังจากที่ปล่อยฝูงลูกปลาที่ผ่านการดัดแปลงพันธุกรรมลงไปในลำธาร
โดยหวังว่าในวันหนึ่งข้างหน้าที่กระบวนการวิวัฒนาการได้พาให้มนุษย์กำเนิดขึ้นมาใหม่ ท้องฟ้าในวันนั้นคงเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินสดใส ให้มนุษย์ได้ชื่นชมความงามนั้นอีกครั้ง
จบ
ติดตามอ่านอีกด้านของเรื่องราวที่เป็นบทสรุปได้ที่นี่-->>AWAKENING
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น