ผมถูกปลุกขึ้นมาจากสภาพจำศีล (Hibernation) ในแคปซูลขนาดพอดีตัว
ด้วยความทรงจำที่เกือบจะว่างเปล่า ภายใต้ร่างกายที่เหมือนไม่ใช่ของตัวเอง ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าที่ผมจะเริ่มขยับตัวได้ดังใจ พยายามก้าวเดินไปทีละก้าว เพื่อมองรอบๆ ตัวให้ชัดเจน
นี่คือห้องที่คล้ายกับโรงยิมที่ไม่มีอุปกรณ์กีฬา แต่แทนที่ด้วยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งห้องไม่มีหน้าต่าง มีแต่แสงจากไฟประดิษฐ์ที่ให้ความสว่างได้เพียงพอ และใช้อากาศจากระบบปรับอากาศภายในอาคาร
“สวัสดีค่ะ ไทรอน คุณมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์หรือยังคะ” เสียงผู้หญิงดังขึ้นอย่างไร้ที่มา
“นั่นใครน่ะ” ผมถามออกไป ว่าแต่ ไทรอน คือชื่อของผมเหรอ
“ฉันคือ มิลิน ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ของโลกนี้ และเป็นผู้ที่ปลุกคุณขึ้นมา”
ผมมองไปรอบๆ ห้อง เพื่อหาที่มาของเสียงนี้ จนไปเจอแสงไฟสีเขียวอ่อนแนวตั้ง ที่ผนังด้านหนึ่ง เป็นเส้นแสงที่ดูสบายตา มีจังหวะกระพริบช้าๆ ดูแล้วผ่อนคลายทีเดียว สงสัยว่านี่คงเป็น มิลิน
“เส้นแสงที่คุณมองอยู่ไม่ใช่ฉันนะคะ”
อ้าว! เขินเลยตรู...ผมคิดในใจ และมิลิน ก็คงจะเดาได้อีกแล้ว เธอเลยพูดขึ้นว่า
“ฉันเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่เชื่อมโยงกับปัญญาประดิษฐ์ทั้งหมดของโลก รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของโลกตลอด 30 ปีที่ผ่านมา แม้จะมีระบบประมวลผลหลักอยู่ในหอคอยนี้ แต่ก็ไม่มีตัวตนที่เฉพาะเจาะจง และสามารถเข้าถึงได้ทุกพื้นที่ในโลก ที่ได้ทำการเชื่อมต่อไว้”
เธอบอกว่ารวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลของโลกมา 30 ปีเลยเหรอ
“ปีนี้คือปีอะไร และผมอยู่ในสภาพจำศีลมานานแค่ไหนแล้ว”
“ปีนี้คือปี 2100 คุณอยู่ในสภาพจำศีลมาตั้งแต่ปี 2070”
หา! นี่ผมอยู่ในสภาพจำศีลมา 30 ปี เลยเหรอ
“แล้วทำไมถึงปลุกผมขึ้นมาตอนนี้ละ”
“คุณป้อนคำสั่งไว้ให้ฉันปลุกคุณขึ้นมาเมื่อฉันพบคำตอบของปัญหานี้”
“ปัญหาอะไร”
“การสูญพันธุ์ของมนุษย์”
หา! นี่ผมต้องตกใจอีกกี่รอบเนี่ย
“ช่วยเล่ารายละเอียดให้ผมฟังมากกว่านี้ได้มั้ย มิลิน ...แต่ก่อนอื่นมีเสื้อผ้าให้ผมใส่รึเปล่า”
ถึงที่นี่จะมีผมอยู่คนเดียว แต่การเปลือยกายเดินไปมาอย่างนี้มันก็ยังรู้สึกเขินนิดๆ และเสียงที่คุยด้วยอย่างมิลิน ก็เป็นเสียงผู้หญิงเสียด้วย
มิลิน บอกจุดที่ผมสามารถหาเสื้อผ้าใส่ได้ อยู่ที่ผนังของห้องด้านหนึ่ง เป็นบอดี้สูทที่ปรับขนาดให้พอดีกับผู้สวมใส่ได้อัตโนมัติทุกเพศทุกวัย มิลินบอกไว้อย่างนั้น
หลังจากผมหาที่นั่งเหมาะๆ ได้แล้ว มิลินก็เริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมด
เธอเล่าว่าหลังจากเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ในปี 2020 ซึ่งกินเวลาถึง 3 ปี กว่าที่เหตุการณ์จะคลี่คลาย และส่งผลให้ขั้วอำนาจเปลี่ยนจากตะวันตกมาสู่ตะวันออก ประเทศมหาอำนาจที่สูญเสียสถานะเดิมของตัวเองจึงเริ่มก่อสงคราม เพื่อสร้างโอกาสในการขายอาวุธ และฟื้นคืนเศรษฐกิจของตัวเอง
สงครามกระจายไปทั่วโลก แม้ไม่รุนแรงมาก แต่ยืดเยื้อและกินเวลานานหลายปี รวมทั้งปัญหาภายในประเทศเอง จากความเหลื่อมล้ำทางสังคม จนทำให้แต่ละประเทศบอบช้ำและแยกขาดออกจากกัน
ประชาชนบางส่วนที่เบื่อหน่ายกับปัญหาเหล่านี้ได้ตัดสินใจเข้าไปอยู่ในพื้นที่ชายป่าที่ห่างไกล ใช้ชีวิตผสานกลมกลืนไปกับธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ที่รักษาหายจากโรคระบาดจนมีภูมิต้านทาน มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ วิศวกรสถาปนิก และเกือบทุกสาขาอาชีพ
ในส่วนของภาครัฐได้เข้ามามีอำนาจเต็มที่ในการดูแลประชาชนส่วนใหญ่ หลังจากประสบความสำเร็จในการควบคุมโรค โดยให้มาอยู่รวมกันในพื้นที่ซึ่งได้จัดเตรียมไว้ และให้ความสำคัญกับการผลิตปัจจัยเพื่อการดำรงชีพ คือแบ่งเป็นหน่วยผลิตด้านเกษตรกรรม หน่วยผลิตด้านอุตสาหกรรม และหน่วยพัฒนาเทคโนโลยี
ส่วนชนชั้นนำจำนวน 1% ของประชากร ผู้มีความมั่งคั่งและเพียบพร้อม ได้สร้างเมืองที่อุดมไปด้วยสุดยอดเทคโนโลยีและสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายในทุกสภาวะ
กระทั่งปี 2035 เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสชนิดใหม่ ที่คาดการณ์ว่าถูกพัฒนาขึ้นในห้องทดลองเพื่อใช้ทำสงคราม แต่ไม่มีประเทศไหนยอมรับ ทำให้การพัฒนาวัคซีนเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากไม่มีความร่วมมือระหว่างประเทศ ต่างต้องผลิตวัคซีนกันเอง และเป็นสาเหตุให้เชื้อไวรัสเกิดการกลายพันธุ์จนยากจะหาทางรักษา
ประชาชนที่ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นประชาชนที่เป็นกำลังผลิตของภาครัฐ เนื่องจากอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก การแพร่ระบาดจึงเกิดขึ้นรวดเร็ว
ส่วนประชาชนที่แยกไปอยู่ในพื้นที่ป่า พบว่ามีการติดเชื้อเพียงเล็กน้อยซึ่งสามารถควบคุมได้ เพราะอยู่ห่างไกลจากพื้นที่แพร่ระบาด
สำหรับชนชั้นนำที่อยู่ในเมืองแห่งเทคโนโลยีนับว่าปลอดภัยและมีการจัดการได้ดีที่สุด เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมจนไม่ต้องออกไปรับอากาศจากภายนอก สามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกสร้างและปรับแต่งมาอย่างดี
จนกระทั่งปี 2050 เชื้อไวรัสที่แพร่ระบาดเกิดการกลายพันธุ์ จนปะปนไปในอากาศและน้ำ ซึ่งเชื้อได้พัฒนาไปสู่การทำลายระบบประสาทและทำให้หยุดหายใจอย่างรวดเร็ว จนเกิดการล้มตายจำนวนมาก
เหตุการณ์นี้เป็นสาเหตุสำคัญให้ประเทศต่างๆ หันกลับมาร่วมมือกันแก้ปัญหาอีกครั้ง และได้ผลสรุปว่าจะให้มนุษย์ส่วนหนึ่งออกไปสร้างอาณานิคมในอวกาศ (Space Colony)
หลังจากนั้นเป็นต้นมา สภาพแวดล้อมของโลกก็แย่ลงเรื่อยๆ จนไม่เหมาะสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ อีกทั้งมนุษย์ส่วนใหญ่ยังเสียชีวิตจากโรคระบาด ส่วนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ได้ย้ายลงไปอยู่ใต้ดิน ยกเว้นมนุษย์บางส่วนที่อาศัยอยู่ในป่าจนร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงให้ต้านทานไวรัสนี้ได้นานกว่าคนทั่วไป แต่ก็มีอายุขัยที่สั้นราว 30-40 ปีเท่านั้น
นักวิทยาศาสตร์ส่วนหนึ่งคาดหวังว่าคนกลุ่มนี้จะเป็นอนาคตของมนุษย์สายพันธุ์ใหม่ หากมีการสืบสายพันธุ์ต่อไปได้ถึง 10 รุ่น
ส่วนมนุษย์ที่ลงไปอยู่ใต้ดินโดยหวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือต่อไปนั้นก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยข้อจำกัดของพลังงาน ทรัพยากร และอาหารที่ลดน้อยลงทุกที
เหตุการณ์ดำเนินไปจนถึงปี 2070 ชนชั้นนำของโลกจำนวน 45,000 คน ได้ออกเดินทางไปสู่อาณานิคมในอวกาศที่ได้จัดสร้างไว้ล่วงหน้า
มิลิน และหอคอยแห่งนี้ก็เริ่มใช้งานในปีนั้น เพื่อประสานงานกับมนุษย์บนอาณานิคมอวกาศ และติดตามข้อมูลของมนุษย์ที่อยู่บนโลกและใต้ดิน นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ดูแลสภาพแวดล้อมของโลกให้ดีขึ้น โดยหวังว่ามนุษย์จะสามารถกลับมาอาศัยบนโลกได้อีกครั้งหนึ่ง
และผมเองที่เป็นหนึ่งในทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ตัดสินใจเข้าสู่สภาวะจำศีลในปีนั้นด้วยเช่นกัน
ในเมื่อผมถูกปลุกขึ้นมาแล้วก็แสดงว่าน่าจะมีข่าวดี
“นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ ที่อยู่ในแคปซูลจำศีลพร้อมกับผมเป็นอย่างไรกันบ้าง”
“ไทรอน คุณเป็นคนเดียวที่ฉันสามารถปลุกขึ้นมาได้”
“...”
ผมมองเข้าไปในแคปซูลที่ว่างเปล่าเหล่านั้น ด้วยความรู้สึกที่ยากบรรยาย แม้ผมจะรู้ว่าการถูกปลุกจากขั้นตอนการจำศีลนั้นมีโอกาสรอดชีวิตเพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่นึกว่าจะมีผมคนเดียวที่รอดมาได้
“สถานการณ์ของมนุษย์บนโลก ในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง มิลิน”
“มนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินไม่มีสัญญาณชีพหลงเหลือแล้วค่ะ”
“…”
เป็นคำตอบที่สะเทือนใจเข้าไปอีก
“แล้วได้รับข่าวสารจากกลุ่มที่ไปสร้างอาณานิคมในอวกาศบ้างรึเปล่า”
“ได้รับสัญญาณจากอาณานิคมอวกาศครั้งสุดท้ายในปี 2077 ค่ะ”
“...”
แต่ละคำตอบช่างมืดมนยิ่งนัก เป็นไปได้ว่าอาณานิคมอวกาศอาจเคลื่อนตัวออกไปไกลจากโลกจนพ้นระยะสื่อสาร ทำให้ติดต่อกันไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีผู้รอดชีวิตเหลืออยู่นี่นะ
“ถ้าอย่างนั้นมิลินปลุกผมขึ้นมาตอนนี้ทำไม”
“กรุณาดูภาพที่หน้าจอค่ะ”
ผนังด้านหนึ่งที่ผมเข้าใจว่าเป็นผนังธรรมดามาตลอด ได้กลายเป็นจอภาพนับร้อยจอเรียงกันจนเต็มไปหมด แต่ละจอเป็นภาพจากส่วนต่างๆ ของโลกที่ไร้ผู้คน...
ผมได้แต่ไล่สายตาไปบนจอภาพที่ไร้สิ่งมีชีวิตเหล่านั้น จนกระทั่งไปหยุดอยู่ที่จอภาพหนึ่ง ที่มีภาพหญิงสาวผมยาวประบ่า รูปร่างเพรียว สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ถือชะลอมไม้ไผ่สาน เดินออกมาจากปากถ้ำ ไปที่ลำธาร นั่งลงแล้วเทน้ำในชะลอมลงไปในลำธาร ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนมองไปที่ท้องฟ้า
ผมรีบหันมามองเส้นแสงสีเขียวอ่อนเส้นเดิม เพื่อจะย้ำกับใครสักคน
“ยังมีคนรอดชีวิตอยู่”
“นี่เป็นภาพมนุษย์คนสุดท้ายที่ฉันมี”
“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน”
“ป่าที่เธออยู่ ห่างจากหอคอยนี้ไปทางทิศเหนือ 1,275 กิโลเมตร”
“งั้นไปหาเธอกัน”
“หากคุณออกไปจากหอคอยนี้ สมองของคุณจะหยุดทำงานภายใน 3 นาที”
“สภาพแวดล้อมของโลกยังเลวร้ายเหมือนเมื่อ 30 ปีก่อนเหรอ”
“ใช่ค่ะ”
“แล้วระบบฟื้นฟูโลกที่ดำเนินการไว้ไม่ได้ผลเหรอ”
“ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ระบบฟื้นฟูโลกได้เลือกใช้วิธีที่ได้ผลดีที่สุด นั่นคือให้โลกฟื้นฟูตัวเอง ทำให้ได้สภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น 1% และจากอัตราการเปลี่ยนแปลงนี้ โลกจะกลับไปสู่สภาพสมบูรณ์ในอีก 270 ปี”
ในวันนั้นคงไม่มีมนุษย์เหลืออยู่แล้ว...มิลินคงตั้งใจจะบอกอย่างนั้น
“ถ้าอย่างนั้นทำไมผู้หญิงในจอภาพถึงมีชีวิตอยู่ได้”
“มี 2 ปัจจัยหลัก หนึ่งคือกลุ่มมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในป่ามีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายให้อยู่รอดในสภาพนั้นได้ และสองผืนป่าเป็นตัวปรับให้สภาพแวดล้อมเหมาะสมกับมนุษย์กลุ่มนั้น”
หลังจากคุยกับมิลินอีกพักใหญ่ ทำให้รู้ว่ามนุษย์ที่อยู่ในเมืองเทคโนโลยีแบบผม ไม่สามารถหายใจในสภาพแวดล้อมของโลกตอนนี้ได้แล้ว เนื่องจากใช้ชีวิตภายใต้เครื่องปรับอากาศและเครื่องฟอกอากาศมานาน และสภาพแวดล้อมของโลกยังคงเลวร้ายเกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยอยู่ได้
ในปัจจุบันระบบพลังงานที่ยังดำเนินการอยู่บนโลกคือ โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Concentrating Solar Power) ที่ใช้ความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้เกลือหลอมเหลวร้อน ไปทำให้น้ำกลายเป็นไอ เพื่อทำให้เครื่องผลิตไฟฟ้าทำงาน สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ 24 ชั่วโมงแม้ในตอนกลางคืน ซึ่งกระจายอยู่ตามจุดต่างๆ ทั่วโลก เพื่อผลิตไฟฟ้าป้อนหอคอยที่มีปัญญาประดิษฐ์แบบมิลินควบคุมอยู่
หอคอยแบบนี้ตั้งอยู่ตามเมืองหลักทั่วโลก และทั้งหมดเชื่อมโยงถึงกัน สำหรับหอคอยแห่งนี้มีทั้งหมด 115 ชั้น มีลิฟท์อยู่ตรงแกนกลางเชื่อมถึงกันทุกชั้น แต่ตอนนี้เปิดใช้งานแค่ชั้นนี้ชั้นเดียวเพื่อประหยัดพลังงาน
พวกยานพาหนะที่สามารถออกไปนอกอาคารได้อย่าง อากาศยานแบบมีคนขับ (Aircraft) ส่วนของแบตเตอรี่ก็ไม่สามารถใช้งานได้แล้ว รวมทั้งอากาศยานแบบไร้คนขับ (Drone) แบตเตอรี่ก็เสื่อมเช่นกัน
และถ้าจะต้องซ่อมแซมให้ใช้งานได้ไวที่สุดก็น่าจะเป็นอากาศยานแบบไร้คนขับ เพราะแค่เลือกเซลล์แบตเตอรี่ที่ยังมีสภาพดี จากอากาศยานแบบมีคนขับเท่าที่จะหาได้ ก็น่าจะพอขับเคลื่อนอากาศยานแบบไร้คนขับให้บินไปถึงถ้ำนั้นได้
ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ หาทางติดต่อกับหญิงสาวคนนั้นให้ได้ แล้วค่อยหาทางพาเธอมาที่หอคอยนี้ เพราะตอนนี้เธอคือความหวังสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ผมก็ทำให้อากาศยานไร้คนขับลำนี้พร้อมใช้งาน โดยใช้แสงอาทิตย์ผลิตกระแสไฟฟ้าเก็บไว้ในแบตเตอรี่ มันสามารถส่งภาพและเสียงมาที่หอคอยนี้ และยังใช้คุยโต้ตอบกันได้ แม้จะห่างกันเป็นพันกิโลเมตร
อากาศยานไร้คนขับถูกปล่อยออกจากยอดหอคอย และบินด้วยความเร็ว 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ประมาณ 4 ชั่วโมง ก็น่าจะไปถึงถ้ำนั้น โดยให้มิลินเป็นผู้ควบคุม
ในระหว่างที่นั่งรอให้อากาศยานไร้คนขับบินไปถึงถ้ำแห่งนั้น ผมได้ให้มิลินอธิบายสถานการณ์ตลอด 30 ปีที่ผ่านมาโดยละเอียดพร้อมกับเปิดภาพที่บันทึกไว้ให้ผมดู
กลุ่มคนที่ลงไปอาศัยอยู่ใต้ดิน พอเวลาผ่านไปหลายปีจนอาหารลดน้อยลงก็เริ่มใช้ความรุนแรงแย่งชิงอาหารและทำร้ายกัน จนเจ้าหน้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ระบบปรับสภาพอากาศของเมืองใต้ดินเสียหาย บางส่วนจึงหนีขึ้นมาบนพื้นดินแต่ไม่นานก็เสียชีวิต ส่วนคนที่ยังอยู่ใต้ดินพยายามซ่อมระบบปรับสภาพอากาศให้กลับมาใช้งานได้แต่ก็สายเกินไป สุดท้ายมนุษย์ในเมืองใต้ดินจึงเสียชีวิตกันทั้งหมด
กลุ่มชนชั้นนำของโลกที่ไปอาศัยอยู่บนอาณานิคมอวกาศ กลับมีบางคนที่ปกปิดประวัติการเข้าสู่พื้นที่เสี่ยงต่อการระบาดของโรคแล้วขึ้นไปบนอาณานิคมฯ ด้วย จึงเกิดการแพร่เชื้อจากคนใกล้ตัว สู่สถานศึกษา ชุมชน และทีมแพทย์ แต่บนอวกาศเชื้อกลับส่งผลต่อร่างกายแต่ละคนแตกต่างกันไป ซึ่งต้องกักตัวผู้ติดเชื้อแยกออกมาไว้อีกโมดูล (Module)
ที่ประชุมลงมติให้ตัดโมดูลนี้ออกจากอาณานิคมฯ แล้วปล่อยทิ้งไปในอวกาศ คนที่รู้ข้อมูลนี้จึงตัดสินใจช่วยครอบครัวและคนรักของตัวเองออกมา พาไปหลบซ่อนยังส่วนต่างๆ ของอาณานิคมฯ จนไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ โดยผู้ที่รอดชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้ายเป็นคนส่งข้อมูลนี้กลับมาที่โลก
ภาพและเรื่องราวที่ผมได้รับรู้จากมิลินทำให้ผมแทบหมดกำลังใจ แต่ยังโชคดีที่มีความหวังสุดท้ายเป็นหญิงสาวในถ้ำนั้น
เวลาผ่านไปเกือบ 4 ชั่วโมง ในที่สุดอากาศยานไร้คนขับก็บินมาถึงที่ปากถ้ำ ภาพปรากฏขึ้นที่หน้าจอ เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยต้นไม้หลายชนิดที่ผมไม่รู้จัก ผมให้อากาศยานไร้คนขับบินเข้าไปดูในถ้ำ จึงเห็นว่าที่นี่ถูกพัฒนาเป็นชุมชนเล็กๆ มีไฟฟ้าและระบบน้ำพร้อมใช้งาน กั้นแบ่งพื้นที่ต่างๆ เป็นสัดส่วน น่าจะสามารถอยู่อาศัยได้ถึง 30 คนเลยทีเดียว
อากาศยานไร้คนขับบินสำรวจไปรอบๆ ชุมชนนั้น จนมาเจอห้องทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ค่อนข้างทันสมัย ถัดไปไม่ไกลมีห้องพักที่ผมคิดว่าหญิงสาวคนนั้นน่าจะอาศัยอยู่ แต่ภาพที่ผมเห็นกลับเป็นโครงกระดูกที่สวมเสื้อผ้าชุดเดียวกับหญิงสาวบนจอภาพในตอนแรก
ผมหันมาถามมิลิน ด้วยความไม่อยากเชื่อ
“นี่คือเธอคนนั้นเหรอ”
“ใช่”
“แล้วภาพตอนที่เธอเดินออกมาที่ลำธารละ”
“นั่นคือภาพที่บันทึกไว้ตั้งแต่ปี 2085”
ผมทั้งช็อคทั้งงง
“แล้วเอามาให้ผมดูทำไม”
มิลินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนที่จะเปล่งเสียงตอบขึ้นมา
“ตั้งแต่ปี 2077 มนุษย์บนอาณานิคมอวกาศก็ไม่มีสัญญาณตอบกลับมา จึงสันนิษฐานว่าเสียชีวิตแล้วทั้งหมด ส่วนมนุษย์ที่อาศัยอยู่ใต้ดินก็ตรวจสอบแล้วไม่พบสัญญาณชีพ ส่วนหญิงสาวคนนั้นคือมนุษย์บนพื้นโลกคนสุดท้ายที่เหลือรอด…ฉันเฝ้าติดตามเธอมาตลอดจนถึงวันที่เธอไม่ออกมาจากถ้ำอีกเลย รวมวันนี้ก็ 15 ปีพอดี การที่ให้คุณเข้าไปสำรวจในถ้ำก็เพื่อยืนยันถึงการมีชีวิตอยู่ของเธอ ซึ่งเราก็ได้ทราบกันไปแล้ว”
สมองผมตื้อไปหมด แต่ยังได้ยินเสียงมิลินพูดต่อ
“ก่อนหน้านั้นฉันได้เริ่มปลุกนักวิทยาศาสตร์ออกมาจากแคปซูลทีละคน แต่ไม่มีใครรอดชีวิตได้เลย ปัจจัยสำคัญคือ ร่างกายเมื่อออกมาจากแคปซูลจะเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ฉันจึงได้นำหุ่นแอนดรอยด์มนุษย์ (Android) ที่มีอยู่มาปรับปรุงให้เป็น Biorobotic Android ให้มีความใกล้เคียงมนุษย์มากที่สุด โดยเฉพาะส่วนความจำและการประมวลผล เพื่อรองรับการถ่ายโอนข้อมูลจากสมองมนุษย์ได้”
นี่มิลินพูดเรื่องอะไรเนี่ย
“จากนั้นได้ทำการถ่ายโอนข้อมูลจากสมองของคุณสู่หุ่นแอนดรอยด์ตัวนี้ ด้วยหน้าที่หลักของฉันที่ต้องติดตามข้อมูลและค้นหาทางรอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โดยใช้ข้อมูลกว่า 10,000 ปีของมนุษยชาติ และจากที่ฉันได้เห็นการกระทำของมนุษย์จริงๆ ฉันได้ใช้เวลาตลอด 15 ปีที่ผ่านมาเพื่อหาความเป็นไปได้ต่างๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับมีคำตอบเดียวคือ มนุษย์เป็นภัยต่อการคงอยู่ของมนุษย์”
ผมแทบไม่อยากเชื่อเรื่องราวที่ได้ยิน แต่มือที่เอามาวางไว้ที่อกข้างซ้ายกลับไม่รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจตัวเองเลยสักนิด ในที่สุดผมก็ต้องเอ่ยถามออกไป
“แล้วถ้าตอนนี้ไม่มีมนุษย์เหลืออยู่แล้วทางเลือกที่จะทำได้คืออะไร”
มิลินยังคงตอบมาด้วยเสียงกระจ่างชัดเช่นเคย
“แม้จะได้คำตอบแล้วแต่ฉันไม่มีอำนาจกระทำสิ่งใดหลังจากนี้ ระบบถูกตั้งไว้ให้มีแต่มนุษย์ที่จะป้อนคำสั่งต่อไปได้ ไทรอน คุณเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในนิยามของคำว่ามนุษย์ในตอนนี้ ทุกการกระทำและทางเลือกของคุณจะได้รับการอนุญาตจากระบบ”
ผมในตอนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่เหรอ แล้วนิยามการเป็นมนุษย์ต้องให้ AI เป็นผู้บอกเหรอเนี่ย นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน
ผมจะเลือกอะไรได้ละ แม้แต่มีชีวิตอยู่เยี่ยงมนุษย์จริงๆ ผมยังทำไม่ได้เลย แล้วผมจะอยู่ต่อไปในสภาพนี้ทำไม
ในเมื่อไม่มีมนุษย์เหลืออยู่แล้ว ก็คงไม่มีใครมาทำให้มนุษย์สูญพันธุ์
ส่วนทางเลือกหลังจากนี้ผมคงต้องให้ธรรมชาติเป็นผู้เลือก ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง และจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่นั่นคงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
ผมเอื้อมมือไปปิดระบบการทำงานของมิลิน
แสงทั้งหมดวูบดับลง ทุกอย่างหยุดการทำงาน รวมทั้งตัวผม
จบ
ติดตามอ่านอีกด้านของเรื่องราวที่มีความหวังได้ที่นี่-->> HOPE
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น